วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

รีวิวร้านอาหาร เกียวโต โยชิโน ที่ อิเซตันชั้น 6 Kyoto Yoshino Okonomi Yaki

 ไปรีวิวร้านอาหารแนวอื่น ที่ไม่ใช่อาหารฝรั่งกันบ้างครับ เดี๋ยวจะมีแต่อาหารประเภทเดียวกันไปหมดทั้ง Blog เลย

ร้านนี้เป็นร้าน โอโคโนมิยากิ ที่เปิดเมื่อปีที่แล้วกระมัง ผมเคยรีวิวไปแล้วครั้งหนึ่งใน เวป อื่น เมื่อตอนมันเปิดใหม่ๆครับ แล้วก็ไม่ได้ไปทานอีกเลย จริงๆมันอร่อยนะครับร้านนี้ ต้องเน้นนะครับ ว่ามันอร่อย ถ้าหากเราเป็นคนที่ชอบกินโอโคโนมิยากิ อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ชอบกินโอโคโนมิยากิ ก็อ่านถึงแค่นี้แล้วผ่านไปได้เลยครับร้านนี้

ขออนุญาต เล่าเสียหน่อยว่าผมเป็นนักเรียนเก่าเกียวโตครับ  เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกียวโตมาเกือบสี่ปีนะ แต่ไม่เคยได้ยินชื่อร้าน Kyoto Yoshino สักครั้งเดียวเลยครับ หรือผมความรู้น้อย หรือเพิ่งมามีร้านนี้หลังจากที่ผมอยู่แล้วก็ไม่ทราบได้ครับ สังเกตุที่รูปฝาผนังทางด้านซ้ายของร้าน จะเป็นรูปวัดน้ำใส ที่ทัวร์ไทยชอบไป (วัด Kiyomizu ) จากชื่อร้านและรูปบนผนังก็พอจะบอกได้ว่า อ้อ "นี่คือร้านที่มาจาก เกียวโต" กระมังครับ

ร้านตั้งอยู่ชั้น 6 อิเซตันครับอยู่ด้านในสุด ร้านไม่ใหญ่ครับ แต่ถ้าจะวัดระดับความฮิตแล้ว ผมว่าร้านซาโบเตนที่อยู่ใกล้ๆกัน ฮิตกว่าเยอะ เพราะร้านนั้นคนรอคิวยาวตลอดเวลา

ด้านหน้าร้าน Kyoto Yoshino

ภายในร้าน Kyoto Yoshino Okonomi Yaki
โอโคโนมิยากิ ไม่ใช่ พิซซ่า แค่หน้าตามันเป็นแผ่นๆ กลมๆเหมือนพิซซ่า แต่จริงๆมันไม่มีอะไรที่คล้ายกันเลย เพราะมันทำบนเตาน้ำมัน มันไม่ได้อบ และมันก็ไม่ได้มีอะไรโรยอยู่ที่หน้า แต่ส่วนผสมทั้งหลายมันอยู่ในเนื้อของตัวโอโคโนมิยากิ เอง

ผมขออนุญาตเล่าเท่าที่รู้คือ คำว่าโอโคโนมิ คือ "ตามที่ใจชอบ" ยากิ ก็หมายถึงการย่าง  (คำเดียวกับที่ใช้ใน ยากิ นิคุ ,เนื้อย่าง นั้นแหละครับ)  และอาหารประเภทนี้ ถ้าไปญี่ปุ่นแล้วอยาก ทานก็ต้องไปที่แถบคันไซครับ  ญี่ปุ่นเขามักจะแบ่งกันว่า เขาเป็นคนคันโต คือคันไซ ถ้าพวก คันไซ ก็พวกชาวโอซาก้า อะครับ  ถ้าสงสัยว่าคนคันไซ เป็นยังไง ก็ไปอ่าน มาเอดะ ในเรื่อง Blues อะครับ มาเอดะ เป็นคนคันไซ เกียวโตก็เป็นเมืองหนึ่งในคันไซนี่เองครับ

เอาละครับ มาดูอาหารกันบ้าง  อาหารทุกอย่างเขาจะทำที่กระทะที่หน้าร้าน แล้วยกมาเสริฟ บนกระทะ ของโต๊ะของเรา
รายการอาหารของร้าน Kyoto Yoshino Okonomiyaki

Omu Soba

Omu Soba


ข้อไก่ทอด

Modern Osaka Okonomi yaki

Modern Osaka Okonomiyaki
โอโคโนมิยากิ มันจะมาเป็นกลมๆอย่างที่เห็นครับ แล้วเราก็ใส่มายองเนส ทางซอส ใส่สาหร่ายอะไรไปแล้วแต่เรา  อาหารพวกนี้จะมัน เค็ม และอาจจะเลี่ยนได้ครับ เขาถึงต้องมีขิงดองไว้บนโตีะอาหารด้วย ผมถึงเน้นว่ามันเป็นโอโคโนมิยากิ ที่อร่อย และเป็นแบบที่โอโคโนมิยากิ ควรจะเป็น  แต่หากคนไม่ชอบทานโอโคโนมิยากิ แล้วก็ไม่รู้จะว่าอร่อยหรือเปล่าเหมือนกันครับ  ไปลองดูนะครับ อร่อยครับ ไม่แพงด้วย กินกันจนอิ่มน่าจะหัวละราวๆ 200 บาทครับ

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

รีวิวโรงแรม ซิกเซนต์ หัวหิน ( Review Six Senses Huahin ,Thailand )

ผมว่ามีคนไม่น้อยทีเดียวที่ สับสนระหว่าง Evason Huahin Pranburi เอวาซอน หัวหินปราณบุรี กับ  Sixsenses Huahin ซิกเซนต์ หัวหิน เพราะเรียกสับสน ไปเอวาซอน บอกไป ซิกเซนต์ เนื่องจากโรงแรมทั้งสองแห่งนี้ เป็นโรงแรมในเครือเดียวกัน แต่ณ ที่แห่งนี้ เขาตั้งอยู่ติดกันเลย แต่จริงๆ แล้วมันเป็นคนละที่กันครับ  ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขียนถึง โรงแรมแห่งนี้ครับ

ครั้งที่หนึ่งคือ ที่นี่ 
ครั้งที่สองคือ ที่นี่

ครั้งแรกนั้นเป็นการไปนอนห้องน่าจะธรรมดาที่สุดของฝั่ง เอวาซอน ส่วนครั้งที่สองนอนที่ฝั่งเอวาซอน แต่เป็นห้อง pool villa ครับ  และครั้งนี้ ไปนอนห้องฝั่งเอวาซอนห้อง ธรรมดา แต่ระเบียงใหญ่กว่าเดิม และก็ย้ายมานอนที่ Duplex ของฝั่ง Sixsenses ครับ   เหมือนเคยครับ คือนอนโรงแรมในเครือนี้สะสม point ได้เหมือนเดิมครับ ( Six senses spirit )

เริ่มกันด้วยฝั่ง Evason ครับ  Evason หัวหินมี pool villa 40 ห้อง กับห้องธรรมดาอีก 187 ห้อง ห้องที่พักห้องนี้ระเบียงใหญ่กว่าห้องที่อยู่ในรีวิวครั้งแรก ราคาแพงกว่ากันราว 20% ครับ แต่ผมชอบนะครับ ระเบียงที่ใหญ่ออกไปนี่ใหญ่พอๆ กับห้องเลยทีเดียว คอนเซฟของ Evason คือการกลมกลืนกับธรรมชาติและชุมชน ซึ่งโรงแรมแห่งนี้ได้รางวัลมาแล้วมากมาย

ผมไม่พาชมห้องแล้วนะครับ ห้องเหมือนกับที่อยู่ใน รีวิวครั้งที่ 1 นั่นแหละ กดไปดูได้เลย 
ความใส่ใจเล็กๆน้อยๆ สร้างสิ่งแตกต่างได้

ระเบียง
สิ่งสำคัญที่คงเส้นคงวาเสมอมา คือการบริการชั้นเลิศของโรงแรมในเครือนี้ การทำให้ลูกค้าประทับใจเกินคาด ที่ให้ลูกค้ากลับมาอีก การเขียนคำทักทายลูกค้าเล็กๆน้อยๆ การให้ของขวัญ เล็กๆน้อยๆแก่ลูกค้าเมื่อ check out รวมทั้ง ของบางอย่างที่ร้านอาหาร ก็ให้ลองทานฟรีๆ  เหล่านี้ครับ ที่เหนือกว่าที่อื่นเสมอมา

ภายในร้าน The Beach 
Restaurant

สลัด

พิซซ่า
ครั้งนี้ได้ลองทานอาหารข้างในโรงแรมกันบ้างครับ หลักๆ มีกันอยู่สามห้องอาหาร คือร้านอาหารไทยตรงริมสระบัว  ร้าน Bar restaurant เป็นอาหาร snack sandwich และ แล้วก็ ร้าน The Beach restaurant เป็น อิตาเลียนครับ  ผลการทดลองทานร้าน The Beach restaurant คือ เป็น ร้านอาหารอิตาเลียน ที่อร่อยมากๆ ครับ เผลอๆ อร่อยกว่าร้าน ดีๆ ในกรุงเทพหลายๆร้านเสียอีก (Chef ของโรงแรมนี้เป็นฝรั่งทั้งหมดครับ)  มั่นใจครับ ว่าอร่อยจริง แนะนำเลย ถ้าพาแฟนไป sweet เราอย่าเสียเวลาไปทานอาหารข้างนอกให้เสียบรรยากาศ ทานนี่แหละครับ เพื่อความ sweet ที่สมบูรณ์ แบบ :)

ต่อมา อีกที่หนึ่งครับ ร้าน The bar restaurant คือ ผมไม่ได้ขยับไปไหน ก็ทานอยู่ที่นี่แหละ ร้านนี้ทานมื้อเที่ยงได้ ก็มี sandwich Pizza อะไรพวกนี้ครับ
wifi free ที่บริเวณ Bar ไม่ต้องใช้ password 

สลัดซีซาร์

พิซ่า
บริเวณบาร์ ริมสระใหญ่ มี wifi ให้ใช้ฟรีไม่ต้องมี password เชื่อมต่อครับ ส่วนอาหารก็ตามรูปครับ ผักต่างๆที่ใช้ เป็นผักที่ปลูกเองในนี้ปลอดสารพิษครับผม  ส่วนอาหารเช้าผมไม่เอารูปมาลงแล้วนะครับ มันเหมือนเดิม ก็ไปดู รีวิวเก่าได้เลย

ทีนี้เราย้ายไปฝั่ง Six Senses กันบ้าง ห้องพักทั้งหมด 55 ห้อง ห้องที่พักคือห้องแบบ Duplex ฝั่ง Six Senses มีห้องอาหารของตัวเอง มี ห้องพักแบบ Duplex และ Pool Villa ห้อง Pool Villa จะแพงกว่า ด้านนี้ หรูหรากว่าอีกด้านมาก และมี spa ของตัวเองที่ได้รางวัลมากมายเช่นกันคือ Six Senses Earth Spa ครับ



ห้องนอนชั้นบน

ระเบียงชั้นบน ที่ห้อง Duplex Sixsenses Huahin

ที่อาบน้ำกลางแจ้ง

อ่างล้างมือ


ระเบียงที่ชั้นล่างห้อง Duplex




Wi-fi ฟรีในห้องไม่ต้องใช้ Password





ห้องพักแบบ Duplex นี้ ราคาแพงกว่าห้องพัก pool villa ในรีวิวครั้งที่สองราว 30% ครับ แต่จะได้ห้องที่มีพื้นที่ใหญ่มาก และเป็นสองชั้น มีทีวีอยู่ทั้งสองชั้น มีห้องน้ำสามห้อง คือมันค่อนข้างใหญ่ไปมากเลยสำหรับคู่รัก ที่มากันสองคนนะครับ แบบนี้มากันได้ทั้งครอบครัวเลยทีเดียว

ห้องน้ำด้านบนก็มีที่อาบในอ่างกลางแจ้ง กับอาบฝักบัวกลางแจ้ง แต่ปัญหาคือห้องน้ำที่อยู่ด้านระเบียงบ้านด้านหน้า มันจะอยู่คนละทิศทางกับห้องน้ำอีกฝั่งหนึ่ง และเวลาอาบน้ำแล้วน้ำที่ไหลออกมานอกอ่าง จะไหลตกลงไปโดนเบาะด้านล่างได้ เหมือนน้ำตกเลยทีเดียว   ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะยกเลิกอ่างนี้ไปเลยก็ได้นะครับ

Wi-fi ในห้องฟรีครับ และตอนกลางคืนพนักงานจะมา turn bed ให้ และมาจุดเทียนที่ริมสระน้ำของเราให้ด้วย

อีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบคือฝั่งนี้ เขามีห้องอาหารริมสระบัว ที่มีที่นั่งจมอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำด้วยครับ คือเหมือนนั่งอยู่ในน้ำเลยอะครับ ชอบครับ ตอนเช้าก็มาทานอาหารที่ตรงนี้ ส่วนตอนกลางคืน ที่นี่ก็เป็นบาร์

ที่นั่งริมน้ำ

ห้องอาหารริมสระ


ห้องสมุด 

ห้องอาหารยามค่ำคืน
อาหารเช้าของฝั่งนี้มีไม่มากนัก แต่เขาให้สั่งเป็น  a la carte   เอา
วันที่ไปนี้เป็นวันจันทร์ เป็นวัน Meat free day ของที่นี่ครับ

ห้องอาหารที่ Six Senses หัวหิน



อาหารที่สั่งเอาก็พวกเมนูไข่ต่างๆ ไส้กรอก แล้วก็พวกหน้าตาแปลกๆ แบบนี้ครับ
เห็ดออเกนนิกบนขนมปัง

กล้วย บนแพนเค้ก
สุดท้ายแล้วครับ Evason Pranburi Huahin และ Six Senses Huahin เป็นที่ที่จะผมชอบเสมอมา และคงยังชอบต่อไป เพราะบริการของที่นี่เหนือกว่าที่อื่นจริงๆ และอาหารก็อร่อยมากครับ ถ้ามีโอกาส ก็แนะนำครับ แนะนำอย่างยิ่ง

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

รีวิว ร้านอาหาร Philippe Restaurant Bangkok "Finest French restaurant in Bangkok"

Philippe Restaurant
วันนี้ผมนั่งๆนอนๆ อยู่และคิดว่าจะไปหาอะไรทานดีนะ เพื่อที่ชีวิตจะได้ไม่ซ้ำซาก ว่าจะไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นตอนนี้ก็เป็นช่วงที่เขาไม่ทานกัน เพราะติดปัญหาเรื่องเป็นห่วงกัมมันตภาพรังสี เปิดเวป หาไปมา สุดท้ายนึกได้ว่าท่านน้อง @nuchy17 เคยแนะนำว่ามีร้านอาหารฝรั่งเศสแถวๆสุขุมวิทย์ที่ต้องไปลองอยู่ เลยได้ทีถามข้อมูลจากท่านน้องเขา แล้วก็มุ่งตรงไปเลย

เวลาที่ผมไปถึงคือ 17.50 น. ซึ่งร้านเขายังไม่เปิด เพราะว่าร้านเปิด 18.00 น. แต่ทางร้านก็ใจดีให้เข้าไปถ่ายรูปในร้านได้ก่อน และก็เปิดไฟ เปิดแอร์ให้ด้วยครับ ทั้งๆที่ไม่ได้จองและไม่ได้บอกว่าจะมาทำอะไรด้วยนะครับ

ร้านตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิทย์ 39 ครับ ซอยที่ทะลุได้ทั้งจากทางถนนเพชรบุรีและก็สุขุมวิทย์ หากเข้าจากปากซอยสุขุมวิทย์ ร้านจะอยู่ทางขวามือ  ร้านไม่ได้ตั้งอยู่ในตึกอะไร ผมเข้าใจว่าเป็นห้องของตนเองครับ แต่ก็มองไม่เห็นป้ายชื่ออยู่ตรงไหนเหมือนกัน  อันนี้ website ของร้าน http://philipperestaurant.com/


ภายในร้านมีสองชั้นครับ ชั้นบนมีโซฟา ร้านไม่ใหญ่มากแต่สิ่งหนึ่งที่ผมพบคือว่าควรจะต้องแต่งตังให้ formal เล็กน้อยเหมือนกัน
ภายในร้าน Philippe Restaurant

ภายในร้าน Philippe Restaurant


ภายในร้าน Philippe Restaurant
ภายในร้าน Philippe Restaurant
อย่างที่บอกครับ คือผมไม่ได้รู้จักร้านนี้มาก่อน และก็ไปตามคำแนะนำ สิ่งที่ผมพบคือ ว่าร้านนี้เป็นร้านที่ Hiso และน่าจะแพงที่สุดในบรรดาร้านที่เคยรีวิวมาทั้งหมด wine ที่นี่ขวดที่แพงที่สุด ราคาถึงขวดละ 60000 บาท  หกหมื่นบาท ทีเดียวครับ แต่ wine ถูกขวดละ 1200 บาท ก็มีนะครับ สำหรับอาหารแล้วมีอาหารเป็น set คือ มื้อเที่ยง set ละ 500 บาท ส่วนมื้อเย็น set ละ 1500 บาทครับ  หากไม่สั่งเป็น set คงคุมงบได้ยากเหมือนกัน

สำหรับครั้งนี้ผมสั่งเป็น set ครับ ซึ่งใน set ก็มี ตับเป็ด MilleFeuiile ครับมากับสลัดและขนมปัง และเยลลี่ ที่ทำจากน้ำซุป
Duck Liver MilleFeuiile
ต่อเนื่องใน set ครับ ก็เป็น หอยเชลล์ญี่ปุ่นในซอสไวน์ขาวและเนย
Roasted Japan Scallop with with wine butter sauce

หลังจากนั้นเราจะได้กินซุปเป็ด Duck consomme' ครับ

Duck consomme'

หลังจากตรงนี้ก็จะได้เชอร์เบต ซึ่งมีสองรสคือรสส้ม กับรสเบซิลผสมกับพริก ออกสีเขียวๆนี่ ผมว่าแปลกดีครับ
Sherbet
ก็มาถึง main course ที่มีให้เลือกสามอย่างคือ เนื้อวัว ปลา และเนื้อแกะ อร่อย สด และพิถีพิถันมาก  ( แต่กว่าจะถึงตรงนี้อาจอิ้่มได้เช่นกัน เพราะมีขนมปังอร่อยๆให้ทานไปตลอดทางครับ ปกติผมก็กินน้อยอยู่แล้ว จริงๆ อิ่มตั้ืงแต่จานแรกเลย)

Braised beef cheek
 เนื้อนี่เหมือนเนื้อตุ๋น มันไม่เหนียวเลย นุ่มอร่อยมากครับ
Fried cod fish filet
ตบท้ายกันด้วยของหวานและชากาแฟ
ของหวานแบบรวมๆ
สำหรับร้านนี้ อย่างอื่นก็มีนะครับ มีเยอะเลย แต่ผมไม่เอารูปมาลงละครับ เอาแค่ชุดก็พอ ทีนี้ wine ครับ wine สำหรับวันนี้เป็นตัวกลางๆจาก แอฟริกาใต้ ตัว vintage ของ Rubert & Rothschild ครับ (เป็น wine promotion เวลานี้)
Rubert & Rothschild 2008 Vintage
ทั้งหมดนี้ บิลออกมาถูกกว่าที่ไปทาน Hyde and seek ครับ แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะผมได้เลือกวิธีที่จะควบคุมงบนั่นเอง ดังนั้น ผมจึงจะสรุปว่าร้านนี้เป็นร้านที่แพงที่สุด ที่อยู่ใน web แห่งนี้ ณ เวลานี้ เหมาะสำหรับนั่งคุยธุระกัน เพราะกว่าจะเสร็จ course ก็กินเวลามากอยู่ ส่วนจะพาแฟนมา Dinner แบบไม่ต้องมีคนเยอะ ก็มาได้ที่นี่เลยครับ

ร้านนี้ได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆมากมายหลายปีซ้อน ผมคงไม่กล้าจะไม่แนะนำหรอกครับ ร้านนี้อยู่ในระดับแนะนำมาก อร่อยมากๆ เลยครับ แต่มันก็แพงเหมือนกันครับ มาร้านนี้แต่งตัวมานิดหน่อยก็ดีครับ อน่า casual มากเกินไปเหมือนผม - -*