ผมเริ่มวิ่งมาตั้งนานจะสิบปีแล้วมั้งครับ เริ่มจากการที่รู้สึกว่าต้องออกกำลังกายบ้าง
เพราะสมัยที่อยู่ต่างประเทศนั้น อ้วนได้ง่ายมาก
ผมก็วิ่งลดพุง ว่างั้นเถอะ สมัยนั้นวิ่งสายพาน
จนกระทั่งกลับมาเมืองไทยผมก็ยังคงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเช่นนี้ต่อไป
ด้วยความที่โชคดี บ้านผมอยู่ใกล้สนามกีฬา
ผมก็เลยไม่ต้องวิ่งสายพานแล้ว แต่ได้วิ่งในลู่วิ่งที่นักกีฬาเขาใช้วิ่งจริงๆ
นั่นแหละ แต่ผมวิ่งแค่วันละ 10 นาทีเท่านั้นแหละครับ เชื่อไหมว่า
ออกกำลังกายทุกวันแบบนั้นวันละสิบนาที แต่น้ำหนักก็ยังขึ้นเรื่อยๆครับ
เหมือนไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่เลย
จนมาวันหนึ่ง เมื่อปีนี้เอง มีพี่ที่เคารพท่านหนึ่งได้ชักชวนให้ไปทดลองลงวิ่งในรายการวิ่งมาราธอนดู
งานวิ่งมาราธอนนั้นคือกรุงเทพมาราธอนที่จัดในประมาณปลายปีของทุกปีครับ
มันคืองานวิ่งที่อยู่ในหนังรักเจ็ดทีดีเจ็ดหน นั่นแหละ ที่มีวาทะเด็ดว่า “วิ่งเปลี่ยนชีวิต ”
นั่นแหลครับ
วิ่งมาราธอนคือการวิ่งประมาณ 42 กิโลเมตร
ซึ่งการแข่งขันพวกนี้เขามักจะจัดให้มีการวิ่งหลายระยะ ทั้ง ระยะ ฮาล์ฟ มาราธอน คือระยะครึ่งหนึ่งของระยะทางของมาราธอน (ประมาณ 21
กิโลเมตร ) และระยะมินิมาราธอน คืออีกครึ่งหนึ่งของระยะทางของ ฮาล์ฟมาราธอน (ประมาณ 10.5
กิโลเมตร ) และก็อาจจะจัดการเดินวิ่งเพื่อสุขภาพ
คือระยะทางที่สั้นกว่าพวกที่กล่าวมาแล้ว แต่การเดินวิ่งระยะสั้นกว่านี้
จะไม่มีการแข่งขันครับ
ผมลังเลอยู่บ้างในการตัดสินใจลงสนามครับ เพราะคิดเหมือนกันว่า “จะไหวเหรอ ”
แต่ผมก็ตัดสินใจสมัคร
ฮาล์ฟมาราธอนไปครับ
ประมาณว่าจะตั้งเป้าหมาย ก็ต้องตั้งให้มันยากๆ หน่อย
จากวันนั้นผมก็เริ่มซ้อมครับ จากที่ผมวิ่งอยู่แล้วทุกวันแค่ระยะประมาณ 1
กิโลเมตรกว่าๆ ผมก็เริ่มซ้อมโดยเพิ่มระยะขึ้นเรื่อยๆ
จนได้วันละ 5 กิโลเมตร ถามว่าเบื่อไหม
วิ่งเฉยๆ ผมบอกเลยว่าเบื่อ แต่การวิ่งนั้นมันเป็นกีฬาที่เราไม่ต้องแข่งกับใคร
มันเป็นกีฬาที่อาศัย พลังใจและความอดทน พยายามจากภายในของเราเท่านั้น
วิ่งเพื่อชนะตัวเอง วิ่งโดยมีวินัย และเป้าหมาย
อีกอย่างที่ไม่เบื่อ ก็เพราะผมวิ่งในสนามวิ่ง ที่นั้นมีคนอื่นวิ่งอยู่ด้วย เราเจอกันแทบทุกวัน สวัสดีกันบ้าง
แม้ไม่รู้จักกัน แต่ทุกคน ก็เป็นเพื่อนวิ่งด้วยกัน ที่สนามซ้อมแห่งนั้นครับ
ก่อนถึงวันที่จะลงสนามกรุงเทพมาราธอนนั้น
ผมก็เห็นว่ามีการแข่งขันรายการอื่นอยู่ด้วย
โดยผมก็ได้ไปลงวิ่งครั้งแรกนั้นเป็นรายการมินิมาราธอน ของงานอะไรก็ไม่รู้ครับ
จำไม่ได้แล้ว น่าจะวิ่งเพื่อแม่ หรืออะไรนี่แหละ
ความรู้สึกของการวิ่ง 10 กิโลเมตร ครั้งแรกก็คือว่า “ทำไมมันไกลอย่างนี้ ” เหนื่อยมาก
แต่เชื่อไหมว่าความรู้สึกที่สุดยอดที่สุด มันอยู่ที่ตอนที่ผมวิ่งถึงเส้นชัย
ครับ ความรู้สึกของการวิ่งผ่านเส้นชัย
นี่มันสุดยอดที่สุดแล้ว
และหลังจากสนามแรกในวันนั้น ก่อนจะถึงงานวัน ฮาล์ฟมาราธอน ผมก็ได้ลงอีกหลายสนามมาก
เหมือนว่าเราซ้อมวิ่งในสนามไปด้วย ยังไงก็ต้องวิ่งอยู่แล้ว แถมยังได้เหรียญอีก มีเพื่อนวิ่งด้วยครับ
วิ่งในงานแข่งนี่มันสนุกกว่าวิ่งซ้อมเยอะเลยครับ และหลังจาก 10.5 กิโลเมตร แรกในวันนั้นแล้ว ผมก็ไม่เคย ทำระยะ 10.5 กิโลเมตรนี้
ไม่ได้อีกเลย มันกลายเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
มันเหมือนกับ เป้าหมายเล็กๆ ที่เราเคยคิดว่ามันอยู่ไกล
เมื่อเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว แล้วมองกลับไปเรามองเห็นมันเป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกิน
“เหมือนคนปีนเขา เห็นยอดเขายอดแรก เราก็ว่ามันไกล พอเราปีนผ่านเขานั้นมายืนบนเขายอดนั้นแล้ว
มองกลับไป ก็อาจคิอว่าทำไมเขาลูกนั้นมัน เตี้ยเหลือเกิน ”
จากการที่วิ่งนั้น ผมได้เห็นอะไรหลายอย่าง ผมได้เห็น Spirit และแรงใจของเพื่อนๆ
ที่ร่วมวิ่งด้วยกัน เห็นเวลาเขาเหนื่อย รู้นิสัยคนที่พยายาม คนที่ไม่พยายาม
เห็นน้ำใจของเขา เห็นความมุ่งมั่น ผมได้เห็นคนที่อายุมากแล้ว แต่เขาก็ยังวิ่งได้ คนที่อุ้มลูกไว้บนหลัง เขาก็ยังลงแข่งได้ คนที่ขาพิการ ใส่ขาเทียม ก็ยังลงแข่งได้
แม่ที่เข็นรถเข็นที่มีลูกนั่งอยู่ เขาก็ยังมาราธอนกันได้ ทำให้พลังใจของผมเวลาอยู่ในสนาม
มันเต็มปรี่มากครับ พลังใจที่ว่านั้น มันพลอยติดตัวผมออกมานอกสนามด้วย “คนมีแขนขาครบถ้วน มีโอกาสที่ดีอย่างเรา
จะมาท้อแท้ได้ยังไง ” ครับ
วิ่งมาหลายสนาม ซ้อมมาหลายงาน มีเพื่อนฝูง พี่น้อง
ตามมาวิ่งกันมามาย จนก่อนถึงวันงาน
ตัวผมนี่ผอมลงมาก ผอมกว่าตอนที่ยังไม่ได้วิ่งถึง 10 กิโลเมตร เยอะครับ (วิ่งแล้วได้หุ่นดีเป็นของแถมด้วย ) จนวันแข่ง ฮาล์ฟมาราธอนนั้น
ผมไม่มีความสงสัยในตัวเอง แม้แต่วินาทีเดียว ว่าจะวิ่งเข้าไม่ถึงเส้นชัย ผมเสพติดความรู้สึกของการ
วิ่งผ่านเส้นชัยแล้วครับ
คนไม่เคยวิ่งจะสงสัยว่า พวกนักวิ่งพวกนี้มันทำอะไรกัน ผมว่าท่านต้องมาลองวิ่งผ่านเส้นชัย ดูสักครั้ง “ความรู้สึกของการเข้าเส้นชัย
ความรู้สึกถึงความสำเร็จ ความรู้สึกว่าเราทำได้ ความรู้สึกของการชนะใจตัวเอง ”
นั่นแหละคือพลังงานของนักวิ่งครับ
การตั้งเป้าหมายก็เหมือนกัน ตอนแรกที่ผมวิ่งแค่วันละ 10 นาทีนั้น
ผมแทบไม่เหนื่อย มันเป็นสิ่งที่ทำได้อยู่แล้ว
และมันก็เลยไม่ได้ผลอะไรกับร่างกายและจิตใจ
ตัวผมเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเป้าหมายมันไกลเกินกว่าที่เคยทำได้ “ผมว่าการตั้งเป้าหมาย ต้องตั้งให้ไกล
ต้องตั้งเป้าอยู่ตรงที่เรา ไม่แน่ใจว่าเราจะทำได้ มันถึงจะท้าทาย ”
เหมือนการออกกำลังกาย
จนรู้สึกว่าร่างกายมันไปไม่ไหวนั้น มันก็ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น การตั้งเป้าหมายที่ยากลำบากจนแทบจะทำไม่ได้นั้น
เมื่อเราทำสำเร็จได้ ก็ทำให้เราเก่งขึ้น เติบโตขึ้น ทั้งพลังกายและใจ
การวิ่งก็เหมือน การเริ่มจะทำอะไรสักอย่างในชีวิต นั้นแหละครับ จะวิ่งก็ต้องเริ่มที่ก้าวแรก ถ้าไม่เริ่มก้าวแรก ก็ไม่มีทางถึงก้าวที่
หนึ่งพันล้านได้ การเริ่มนั้น
ก็ต้องเริ่มเสียเลยเดี๋ยวนี้ เพราะถ้าไม่เริ่มเดี๋ยวนี้ การจะไปถึงก้าวที่ หนึ่งพันล้านนั้น
ก็ยิ่งช้าออกไปอีก หรืออาจจะไม่เคยได้เริ่มอะไรเลยครับ
ไปเป้าหมายกันครับ “วิ่งถ้ามีกำลัง เดินถ้าวิ่งไม่ไหว คลานไป ถ้าขานั้นเดินไม่ได้ ขอแค่พลังใจที่ไม่ยอมแพ้ เราก็จะถึง
เป้าหมายเองครับ “
VIDEO
สวัสดีปีใหม่ครับ