วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ร้านอาหาร ครัวต้นน้ำ ,บางปะอิน อยุธยา , อารยธรรมลุ่มแม่น้ำ กับอาหารเลิศรส

รอบนี้พาเพื่อนต่างชาติไปเที่ยวอยุธยาครับ ไปทีไรก็ต้องไปพระราชวังบางปะอินก่อน แล้วค่อยเข้าไปชมอุทยานประวัติศาสตร์  และทุกครั้งที่ไปอยุธยา ก็มักจะต้องไปทานร้านริมแม่น้ำที่มี กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ๆ ขาย

ที่จริงแล้ว ร้านที่ขายกุ้งแม่น้ำเผา ที่ทำได้อร่อยๆ นั้นมีหลายร้านเลย แต่ครั้งนี้ใช้วิธีดูจาก internet ว่าร้านไหนมีจำนวน review มากที่สุด ก็จะไปร้านนั้น ผลที่ออกคือ ได้ไปร้านต้นน้ำนี่แหละครับ ซึ่งมันอยู่ที่ทางเข้าพระราชวังบางปะอินเลย  สามารถหาร้านได้ไม่ยากนัก  ผมเข้าใจว่าเหตุผลนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่คนไปทานที่ร้านนี้มากกว่าที่ร้านอื่นๆ  นั่นคือ ร้านนี้เดินทางสะดวกกว่า โอ๊โอ ผมไม่ได้บอกว่าร้านนี้ไม่ดีนะครับ แต่จะบอกว่า ร้านที่ทำได้พอๆกันนี้ มีหลายร้านเลย  อย่าเครียดมากนัก หากไปแล้วไม่มีที่นั่ง ร้านใกล้ๆ กันก็ทำได้ไม่ทิ้งกันเท่าไรนัก ในความคิดของผม

ร้านครัวต้นน้ำนี้ มีที่จอดรถอยู่มากมายครับที่หน้าร้าน  ส่วนภายในร้านก็มีที่นั่งบนเรือ บนแพ และก็บนบก  เพราะหากว่านั่งในแพ หรือในเรือ มันจะเคลื่อนไปมา คนที่เมาเรือนั้น อาจจะออกอาการเมาได้

ที่จอดรถ ร้านต้นน้ำ บางปะอิน

ภายในร้านต้นน้ำ บางปะอิน

ร้านนี้ได้รับการรับรองจาก เชลล์ชวนชิืม และหมึกแดง เรียบร้อย
เห็นป้ายแล้วชวนงง ไม่รู้ว่าร้านชื่อ ร้านต้นน้ำบางปะอิน หรือต้นน้ำริเวอร์วิว กันแน่

หน้าร้านต้นน้ำ
คนที่มาทานอาหารที่นี่ก็คงมาทาน กุ้งแม่น้ำเผา นี่เองครับ  เขาขายเป็นกิโล  อร่อยดีครับ อาหารอย่างอื่นก็อร่อย ดูตามรูปอะครับ

ปลาเนื้ออ่อน

กุ้งแม่น้ำเผา

ต้มยำกุ้ง

ส้มตำ
อย่างที่เห็นครับ บรรยากาศและอาหาร ก็เป็นแบบทั่วๆไป  แต่ราคานี้เอาเรื่องทีเดียว กุ้งที่เห็นในรูปนั้นเขาขายเป็นกิโลกรัม  โต๊ะผมสั่งมา 5 ตัว ก็ตกเป็นค่ากุ้ง 1980 บาท และรวมค่าอาหารออกมาทั้งโต๊ะเป็นเงิน 2980 บาท  ราคาเอาเรื่องอยู่นะครับ

ร้านนี้คนเยอะอยู่  ทั้งๆที่ราคาไม่ได้ถูกเลย ถ้าเทียบกันแล้ว หลายๆร้านที่สวยๆ ในรีวิวอันอื่นๆของผมนี้ ราคาถูกกว่าร้านนี้อีก  ทำให้ผมคิดถึงร้าน ฟูจิ อาหารญี่ปุ่น ที่จริงๆ ราคาก็ไม่ได้ถูก แต่คนก็เยอะแยะไปหมด ในขณะที่ร้านอื่นๆที่ อร่อยกว่า ถูกกว่า กลับคนน้อย  เรื่องนี้สอนว่า คนไม่ได้กลัวราคาของร้าน แต่ บรรยากาศของร้านที่รู้สึกเรียบร้อย และ"เต็มที่" ทำให้ลูกค้า ต้องรอโอกาสพิเศษ เขาถึงจะไป เพราะเขาต้องแต่งตัวดีๆ และเตรียมตัวไปเหมือนกัน  ในขณะที่ร้านที่ "แพงแบบบ้านๆ" คนเข้าได้ทุกวันแบบไม่ต้องเตรียมการมาก คนก็เลยเยอะตลอดครับ

ครับ จบแล้วครับ ที่อยากจะเขียนเกี่ยวกับร้านนี้มีเท่านี้ครับ  ร้านนี้อร่อย ไปทานไม่ผิดหวังครับ แต่เรื่องราคาก็เอาเรื่องทีเดียว ราคาเฉลี่ยกุ้งแม่น้ำเผา คงประมาณนี้กระมังครับ


วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ว่าด้วยเรื่อง ไวน์จุกคอร์ก ไวน์ฝาเกลียว

ปกติ blog ผมไม่ได้มีไว้แสดงความรู้อะไรเป็นพิเศษครับ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่ได้เป็นการมีความรู้อะไรเป็นพิเศษกับเขาหรอก เขียนเพราะเพิ่งจะทราบเหมือนกันครับ

ผมไปชิมร้านอาหารต่างๆที่มีไวน์ขายอยู่ด้วยนี่ ผมก็ไปอย่างบ้านๆ นี่แหละ คือเป็นคนที่ไม่ได้มีความรู้อะไรกะเขา ไปสั่งก็ใช้วิธีเรียนรู้โดยการ ลองผิดลองถูก ไปเรื่อยๆครับ ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีที่พลาดอยู่เลย

ทีนี้เรื่องที่เราจะมาเขียนกันในวันนี้คือเรื่องของไวน์จุกคอร์ก กะไวน์ฝาเกลียว  เพราะช่วงหลังผมได้ยินวาทะเรื่อง ดื่มไวน์ เป็นเครื่องดื่มอมาตย์ ดื่มเบียร์เป็นเครื่องดื่มไพร่ ประเด็นตรงนี่แหละ ที่เป็นจุดที่ทำให้ผมอยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง

เรื่องไพร่ หรือ อมาตย์ อารยชน หรือคนเถื่อน ไม่ใช่มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ที่ยุโรปเขาก็เป็นมานานแล้วตั้งแต่ยุคโรมัน มนุษย์ได้ใช้การดื่มเครื่องดื่มชนิดต่างๆกัน การดื่มไวน์เก่าใหม่ต่างกัน มาใช้ในการแบ่งแยกชนชั้นของมนุษย์      ชาว"อารยะ" อย่างพวกฝรั่งเศสอิตาลี เขา ดื่มไวน์กันมากสุดในยุโรป  ส่วนประเทศที่ดื่มเบียร์มากสุด ก็ได้แก่ประเทศตรงพื้นที่ ที่ชาวโรมันเขาเคยมองว่าเป็นดินแดนของคนเถื่อนนั่นเอง ได้แก่ดินแดนพวก เยอรมัน ออสเตรีย อังกฤษ ไอร์แลนด์ ในปัจจุบัน เป็นต้น  จนถึงยุคนี้ ผมก็ยังคิดว่า เครื่องดื่มที่ใช้เป็นสนามในการประลองความรู้ และใช้วัดความต่างทางสังคม ได้ดี ก็คือ ไวน์ นี่แหละครับ

คือ "ภาพ" ของการดื่มไวน์นั้น มักมาคู่กับความเป็นเครื่องดื่มที่แพง และจะดื่มนั้นทำได้ยาก ทำให้คนที่ดื่มไวน์จะมี "ภาพ" เป็นคนรวย หรือเป็น "อมาตย์"   และไวน์จุกคอร์ก ก็มีภาพของความ classic และมีราคาแพง   ส่วนภาพของการดื่มไวน์ฝาเกลียว เป็นภาพของ "ไวน์ราคาถูก"   คนที่เดิมไวน์ฝาเกลียว เลยได้ภาพเป็น ดื่มไวน์ฝาเกลียวเป็น "ไพร่" ไปนะครับ  ถ้าดูรีวิวของผมที่ผ่านๆมา ก็มีทั้งฝาเกลียวฝา คอร์กนั่นแหละครับ จะอะไรกันนักหนา กลายเป็นดื่มอะไรก็ไม่ได้ไปซะแล้วนะครับ  ในความเห็นของผมนั้น ไวน์ฝาเกลียว ที่รสชาติดี ก็มีเยอะแยะไปนะครับ และประหยัดด้วย ดื่มแพงๆ บ่อยๆ เงินหมดก่อนครับ

อย่าเอาความรู้สึกมาตัดสินใจ ว่าไวน์ดีหรือไม่ดี  ด้วยการดูที่ฝา ทั้งสองอย่างอาจรสชาติดี หรือได้รับคุณค่าคุ้มค่าได้พอๆกัน    ไวน์ฝาเกลียวเปิดง่ายกว่า ส่วนถ้าอยาก classic ก็ไป เปิดจุกคอร์ก ก็ได้ครับ เหมือนกับที่บางวันเราอยากกิน ข้าวแกง บางวันก็ไปกินภัตตาคารหรูอะไรอย่างนั้นก็ได้นี่ครับ  มันก็อร่อยเหมือนกันนั่นแหละ ไปคนละแบบ คนละโอกาสของมัน

อาจารย์วิฑูรย์แห่งโรงเรียนค็อกเทลแอนด์ไวน์ ท่านว่าไว้ดังนี้ ว่าประเพณีของการดื่มไวน์นั้น มันมักจะยุ่งยากและซับซ้อน ไวน์ที่ใช้ฝาคอร์ก มีข้อดีอย่างหนึ่งก็คือว่า หากไวน์เสีย เราจะสามารถรู้ได้โดยการดูที่จุกคอร์ก  กล่าวคือเมื่อเปิดขวดออกมาแล้ว เราเอา จุกคอร์กออกมาดม เราก็จะทราบได้ทันที ว่าไวน์มันเสียหรือไม่เสีย โดยที่เราไม่ต้อง เอาไวน์ที่เสียเข้าปากเสียด้วยซ้ำ  แค่ดูสีจุกคอร์ก ดมกลิ่นก็รู้แล้ว  อย่างที่เขาเรียกว่า Corked wine

เคยสงสัยบ้างไหมว่าเขาเปิดจุกคอร์กของไวน์ แล้วเอาจุกมาให้เราทำไม  ก็เพื่อมาดูว่า มันเสียหรือเปล่าไงละครับ  อย่าลืมเอาจุกคอร์กที่เปิดออกมาแล้ว มาดม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเปิดไวน์ขวดแพงๆ (ผมเตือนใจตัวเอง)

ช่วงหลังๆเราจะเห็นไวน์ที่ใช้ฝาเกลียวมากขึ้น ไวน์พวกนี้มักจะมีอายุไม่มากนัก เป็นไวน์ปรุงพร้อมดื่ม การใช้ไวน์ฝาเกลียวเป็นการลดต้นทุนอย่างหนึ่ง ประกอบกับการใช้จุกคอร์กไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปในการผลิตไวน์แบบ mass  ดังนั้นเราจะเห็นผู้ผลิตทั้งเก่าและใหม่หันมาใช้ฝาเกลียวกันมากขึ้น

ข้อดีของไวน์ฝาเกลียวคือ

1.ไวน์ฝาเกลียว มักจะถูกกว่าไวน์จุกคอร์ก
2. การใช้ไวน์ฝาเกลียวมันเปิดง่ายกว่า หมดปัญหาเรื่องเปิดไวน์แล้วคอร์กตกลงไปในขวด คอร์กเปื่อยจนแตก  ปัญหาเปิดไม่ได้ อะไรพวกนี้ หมดไปเมื่อใช้ฝาเกลียว
3. การทดลองเผย การปิดด้วยไวน์ฝาเกลียว มันปิดแน่นสนิทดีกว่า ทำให้รักษาคุณภาพของไวน์ ได้นานกว่าการใช้จุกคอร์ก  ( จริงๆ ฟังดูแปลก เพราะไวน์ฝาเกลียวพวกนี้ มักจะถูกดื่มอย่างเร็วมาก เพราะพวกมันไม่ต้องเก็บไว้นาน ถึงจะพร้อมดื่มเหมือนไวน์แบบเก่าๆ ดังนั้นก็ไม่เห็นต้องรักษาไวน์อะไรให้นานเลยนี่นา )

ครับ เท่านี้แหละครับที่ต้องการจะบอก คืออยากจะบอกว่าไวน์ฝาเกลียวกับไวน์จุกคอร์ก ก็สามารถให้คุณค่าในการดื่มได้เหมือนๆกัน นั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าเราอยากได้ คุณค่า อะไรจากเครื่องดื่มเหล่านั้น  และสำหรับผม คุณค่าเรื่อง การเป็นอารยะ หรือ เป็น ไม่อารยะ เป็นไพร่ หรือเป็นอมาตย์ พวกนั้น ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวแล้วนะครับในยุคสมัยนี้

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รีวิวร้านอาหาร 99 Rest Backyard Cafe' , Everyday is a picnic in the park

99 Rest Backyard Cafe'
ร้านอาหาร 99 เรสท์ แบ็คยาร์ด คาเฟ่ เป็นร้านที่เปิดมายังไม่นานนัก คือเปิดเดือนเมษายน 2554  ส่วนวันที่ผมไปรีวิว มานี่คือวันนี้ที่เขียนนี่แหละ 18 มิถุนายน 2554
ร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับ 99 resident ที่เป็นโครงการหมู่บ้านของเครือเสรี พรีเมียร์ เจ้าของหมู่บ้านเสรี เดิมนั่นแหละครับ หากมาจากทางในเมือง เราก็ต้องลงทางด่วนที่รามคำแหง เพราะว่าถ้าลงศรีนครินทร์มันจะเลยไปหน่อยนึงครับ จริงๆ ก็ลงได้ทั้งคู่อะนะ เอาเป็นว่าไปดูแผนที่ของร้านเองตาม link นี้ครับ http://www.99-rest.com/

ถ้าติดตามการเขียนรีวิวของผมมาตลอด จะเห็นว่าผมไม่ค่อยชมใครมากๆ หรอก เพราะผมก็เกรงว่าหากท่านผู้อ่านได้อ่านรีวิวแล้วไปทำตาม แล้วผมเขียนชมเกินจริง โอเว่อร์ มากเกินไป จะทำให้ผิดหวังกันเสียเปล่าๆ  แต่สำหรับร้านนี้ ผม "ชอบมาก" และอยากให้คะแนนอยู่ระดับ "แนะนำอย่างยิ่ง" ครับ  ถ้าจะอธิบายจากสิ่งที่เคยเขียนมาก่อนหน้านี้ ก็คือ ร้านนี้ ร้านสวย อร่อย และบริการดี เหมือนๆ กับร้าน Hyde and seek แต่ผมไม่ต้องไปไกลถึงในเมือง และแถมร้านนี้อาจจะถูกกว่าด้วย  และร้านนี้ ก็อร่อยกว่าร้านหลายร้านที่ CDC ที่ผมเคยไปรีวิวมาเสียอีก ดังนั้น ไม่ยอมเสี่ยงสักครั้งที่จะบอกว่า แนะนำอย่างยิ่งครับ

ร้านนี้ตั้งอยู่ติดถนน ที่มีอุโมงค์ลอดพระรามเก้า เพื่อที่จะไปทางพัฒนาการครับ  แต่ทางด้านหน้าร้านมีกำแพงสูงกั้นมิดชิด ไม่ให้เห็นถนนเลย ทำให้บรรยากาศด้านในร้านนี่ เหมือนกับเป็นโรงแรมเลยจริงๆ

99 Rest Backyard Cafe'

99 Rest Backyard Cafe'
ทางด้านใน มีโต๊ะที่อยู่ในสวนด้วย และก็มีพื้นที่ในสวน ขนาดใหญ่ทีเดียว ผมว่ามาจัดงาน party กันที่สวนที่นี่ได้เลยละครับ

ไม่แปลกใจว่าที่นี่สวยเช่นนี้ เพราะคนออกแบบเป็นคนเดียวกับคนที่ออกแบบโรงแรมรายาวดี ที่กระบี่ ภายในร้านให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงแรมมากครับ
99 Rest Backyard Cafe'

99 Rest Backyard Cafe'

ในส่วนของเมนูอาหาร ที่นี่มีอาหารหลากหลายแบบผสมกันอยู่ ทั้งไทยจีนฝรั่ง ปนๆกันไป อาหารอร่อย เกือบทุกอย่าง ดูตามรูปแล้วกันนะครับ ชื่ออาหาร จะพยายามเขียนไว้ใต้รูป


Rocket Salad & Spicy Italian Sausage

Angel Hair With Blue Swimmer Crab meat


Duck Confit

ข้าวหมูฮ้อง

Australian lamb shank ขาแกะ
อาหารในรูปที่เห็นนี่ ผมชอบ ข้าวหมูฮ้อง มากที่สุดครับ ส่วนอย่างอื่นก็อร่อยครับ ดูจาก web ของร้าน ท่านบอกว่า เมนูอาหารพวกนี้ Chef เอียน เฉลิมกิตติชัย เป็นคนคิด ขึ้นมา  Chef เอียน ก็คือ Chef ที่ทำ เมนูที่ Hyde and Seek ด้วยครับ 

ครั้งนี้สั่งของหวานมาอย่างเดียว เพราะสั่งเยอะเหลือเกิน ถึงกับต้องห่อกลับบ้านกันทีเดียว เพราะท้องจะระเบิดครับ ของหวานนี้ Green Tea Crème brûlée  ก็อร่อยครับ

Green Tea Crème brûlée 
เครื่องดื่มพวก cocktail กับ wine ก็มีหลายอย่างนะครับ แต่ผมไม่ได้สั่งเท่านั้นเอง ผมว่าถ้ากลุ่มเพื่อน สาวๆ มานั่งทานร้านนี้คงชอบมากๆ  ร้านนี้บรรยากาศดี อาหารอร่อย แต่ไม่แพงเหมือน Hyde and seek  คนที่มาร้านนี้ส่วนใหญ่ เป็นครอบครัวนะ เท่าที่ผมเห็นในวันนี้  และก็โต๊ะ ก็เต็มอยู่เหมือนกันครับ โทรจองโต๊ะได้ที่ ตามรูปนี้ครับ
99 rest backyard
มาถึงตอนสรุปแล้ว จะเห็นว่า รีวิวนี้ ผมไม่ค่อยเขียนอะไรเลย  ก็เพราะผมสรุปสั้นๆไปให้แล้ว ว่า แนะนำอย่างยิ่งครับ ไม่ต้องบรรยายกันมาก ร้านนี้ ราคาไม่แพง ผมคิดว่าอยู่ราว 500 บาทต่อคน หากไม่สั่ง wine นะครับ  และสมาชิก club 21 ลด 15% ครับ   ราคาอาหารดูตาม bill ที่ผมแปะรูปไว้ข้างล่างนี้แล้วกันครับ





วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รีวิวร้านอาหาร Neil's Tavern ซอยร่วมฤดี "Best Steak in Town"

 ร้าน Neil's Tavern Restaurant and Bake shoppe ที่ซอยร่วมฤดี ร้านนี้ไม่ใช่ร้านใหม่เลย และผมก็ได้รีวิวร้านนี้ไปแล้ว สองครั้งที่ web อื่นครับ (ตาม link) แต่เหตุผลที่นำมาเขียนใหม่อีกครั้งในครั้งนี้ ก็ด้วยความที่ผมพยายม search ใน internet หาร้าน steak อร่อย, สเต็กอร่อย, หรือใช้ key word ว่า Best steak in Bangkok  สิ่งที่ได้พบมักเป็นร้านอาหารในโรงแรมครับ ที่บางแห่งเขาโฆษณาเสียด้วยซ้ำว่าเขา เป็น Best steak in Bangkok ทั้งๆที่จริงๆอาจจะไม่ใช่ เรื่องของเรื่องคือผมอยากทดลองว่า ถ้าเขียนบทความนี้ขึ้นมาแล้ว เมื่อค้นด้วย keyword ดังกล่าว แล้วมันจะชี้มาที่ บทความนี้หรือเปล่านะครับ เรามาลองดูกัน  และอีกอย่าง ในความเห็นของผมแล้ว ร้านนี้มีข้อดีหลายๆอย่างเลยนะครับ  Neil's Tavern เนี่ย

ภายในร้าน Neil's Tavern
 ร้าน Neil's Tavern ร้านนี้เปิดมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 1969 แต่เดิมร้านอยู่สยาม จนย้ายมาอยู่ที่นี่ในปี 1978 และได้รับการรีโนเวตครั้งล่าสุดเมื่อต้นปี 2010  คำว่า Neil's นั้น มาจากคำว่า Neil Armstrong นีล อาร์มสตรอง "มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์" คำว่า Tavern ของชื่อร้านน่าจะหมายถึง ร้านเหล้ามั้งครับ  ร้านนี้มีขาย bakery อร่อยอยู่ด้านหน้า ส่วนข้างในก็เป็นร้านอาหาร
ร้านนี้ฮิตทีเดียว ถ้ามาแล้วไม่ได้จอง อาจไม่มีโต๊ะครับ

บรรยากาศในร้าน
สำหรับอาหาร Steak ที่นี่อร่อยมาก อร่อยมานานแล้ว และก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเนื้อมาจาก Brand นั้นนี้ เช่นโกเบ มัซซึซากะ อะไรนี่  เรื่อง Brand ของเนื้อนั้น เป็นเรื่องที่ร้านยุคหลังๆ เอามาใช้กัน แต่ร้านนี้อยู่นานแล้ว อย่างมากก็มีบอกว่าเนื้อ AUS ( จริงๆร้านนี้ก็มีเนื้อ มี brand นะครับ)


ข้อดีของร้านนี้ที่ผมชอบคือ มันไม่อยู่ในโรงแรม ดังนั้นก็ไม่ต้องทำตัวแข็งมากนัก เราก็แต่งตัวตามปกติไปกิน อย่างสบายใจ ส่วนราคา steak นั้น ลองสั่ง Steak A La Neil ของที่นี่ แล้วไปสั่ง Steak ที่ Sizzler ดูสิครับ ราคาไม่หนีกันเท่าไหร่หรอก  แต่ที่นี่อร่อยกว่าเยอะ

Steak A la Neil
ไม่ใช่แค่ Steak ที่อร่อย แต่ร้านนี้ยังมีชื่อเสียงด้านอาหาร Seafood ด้วยครับ และมี Escargot ปรุงแบบฝรั่งเศสด้วยนาครับ

Pan Seared Foie Gras


ส่วน wine-list ของที่นี่ ก็มีระดับกลางๆครับ ไม่เว่อร์มาก ซึ่งสำหรับผมแล้วผมว่าเพียงพอแล้วที่จะดื่มไวน์ประมาณพวกนี้  เพราะดื่มระดับสูงกว่านี้ ผมก็ไม่ซาบซึ้งกับมันอยู่ดีเนื่องจาก ความรู้ คงไม่ถึง

wine list 
วันนี้เราดื่ม ไวน์ ฝาเกลียวจาก อิตาลี ขวดนี้ในรูปครับ เป็นขวดเดียวใน list ที่มาจากประเทศนี้

Italian wine
ตอนนี้ร้าน Bakery ของ Neil's Tavern เขามีพิเศษ คือถ้า check in ที่ Neil's ครบสามครั้ง ได้กาแฟฟรีที่ร้าน Bakery ครับ 

foursquare check in
ครับ เขียนเท่านี้แหละ ร้านนี้เปิดมา กว่า 40 ปีแล้ว ไปกี่ทีฝีมือก็ไม่เคยตก อร่อยเหมือนเดิมครับ  หวังว่า ต่อไปถ้า search ใน Google เรื่อง steak แล้วจะเจอรีวิวอันนี้ของผมบ้างนะครับ Neil's Tavern ; The oldest and the best steak in town ครับ

Web ของร้าน http://www.neil.co.th/
เบอร์โทร 02 256 6874-6

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รีวิวร้านอาหาร Wine Me UP , Seen Space ทองหล่อ 13 ไวน์ มี อัพ

wine me up
ร้าน wine me up นี้ตั้งอยู่ที่ชั้นสามของโครงการ Seen Space ในซอยทองหล่อ 13 ครับ ร้านเพิ่งจะเปิดได้ไม่ถึงสองเดือนละมัง ในวันที่ผมไปทดลองทานมานี่

ก่อนจะไปผมได้เห็นประชาสัมพันธ์ของร้านนี้แล้ว ใน facebook ครับ และเห็นจากที่เพื่อนผมใน facebook เขาไปลองกินมาแล้ว และเพื่อนคนนี้ก็ไปร้านนี้หลายครั้งเลยนะ ทั้งๆที่ยังเพิ่งเปิดนี่แหละ ทำให้ผมเกิดความสนใจและตอบรับทันทีที่มีเพื่อนชวนไปทานร้านนี้

ในการเขียนรีวิว ร้านนี้ก่อนที่จะเข้าไปรีวิวในตัวเนื้อหาของร้าน ผมคงต้องขอเริ่มบ่นเสียก่อน สักสองเรื่องนะครับ เรื่องแรก คือเรื่องว่าด้วยชื่อของร้าน  "wine me up"  ได้ยินแล้วทำให้ผมอดนึกไม่ได้ว่า ร้านนี้ก็เป็นร้าน แบบ "me too" คือ อยู่ใน trend ของร้าน  wine ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ อย่างเช่นพวกร้าน "wine I Love you" ที่ฮิตที่สุดใน blog ของผมขณะ นี้นั่นไง หรือจะเป็น wine 33, wine connection อะไรพวกนั้นอะครับ wine me up นี่สำหรับผม ผมจะนึกไปถึง wire me up หรือการ เชื่อมต่อ ของพวก Electronics อุปกรณ์ Hi-Tech อะไรพวกนั้นอะครับ  แต่ตามที่ผมอ่านจากหนังสือพิมพ์เขาบอกว่า wine me up ให้ใครๆ cheer up  (ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหนเลยนะครับ งั้นก็ wine up ก็พอ ไม่เห็นต้องมี "me" )

เรื่องที่สอง ที่จะบ่น คือเรื่องการประชาสัมพันธ์ของร้านในช่วงแรกๆนี้ ขณะที่ผมเขียนอยู่นี่้ ผมมีหนังสือพิมพ์ของ วันที่ 3 มิถุนายน และ 4 มิถุนายน 2554 ลงประชาสัมพันธ์ร้านนี้ทั้งคู่ ผมมีความเห็นว่า มันอาจจะหมดยุคไปแล้ว ที่จ้างช่างภาพ "มือที่อาจจะอาชีพ" มาถ่ายลงประชาสัมพันธ์  อีกอย่างผมก็เข้าใจว่า ช่วงแรก ร้านเปิดเฉพาะตอนกลางคืนแท้ๆ ดันไปถ่าย รูปตอนกลางวัน มันก็ยิ่งไม่ได้ความรู้สึกจริงๆของลูกค้าที่เขาจะมาร้านอะครับ

ร้าน wine me up ชั้นสาม seen space thonglor
แล้วถ้ายิ่งไปดู facebook นะครับ จะพบที่ให้ความรู้สึก "จัดฉาก" อะครับ จริงๆ อาจไม่ใช่ก็ได้นะ แต่เห็นครั้งแรก ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆครับ  ลองประชาสัมพันธ์ผ่านระบบ "เพื่อน" บอกต่อดูบ้างจิครับ  ผมว่า work กว่านะ  ร้านบางร้าน ตอนนี้เขามีช่างกล้องประจำร้าน แล้วก็ถ่ายรูป คนที่มาทานในวันนั้นๆ ขึ้น facebook ของร้านนะครับ  แบบนี้ "ไม่จัดฉาก"เลยนะครับ  การประชาสัมพันธ์ ไม่ดี ผลลบ เกิดขึ้นได้นะครับท่าน

บ่นแค่สองเรื่องนี้ครับ ไม่บ่นแล้ว มาดูรูปร้านแบบ "ไม่จัดฉาก" กันเลยครับ  ร้านสวยน่านั่งครับ ดูตามรูปเลย

หน้าร้าน wine me up

ภายในร้าน wine me up

ภายในร้าน wine me up


counter ร้าน wine me up
ในส่วนของอาหารนั้น  ร้านนี้อาหารอร่อยครับ อร่อยใช้ได้เลยละ มาดูไปทีละอย่างครับ ดูชื่อข้างล่างรูปครับ
ร๊อคเกต สลัด

Calamari

Tapas set

Tuna with wasabi creme sauce


Tenderlion "Rosini "with Gose Liver

อกเป็ด กะ Foie Gras ราดซอสเชอรี่

พาสต้า หอบเชลล์

พาสต้า กุ้งแม่น้ำ
สุดท้ายนี่ของหวาน
บานนอฟฟี่ พาย
ขึ้นชื่อว่า wine me up ร้านนี้้ต้องขาย wine อยู่แล้วครับ wine มีให้เลือกหลายราคา ตั้งแต่ 580 บาท -6000 บาท ต่อขวด หรือจะทานเป็นแก้วก็มีครับ 150 บาท  หันข้างขวดมาดู ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่า แต่ทุกขวดที่เลือกมาคราวนี้  นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย BB&B หมดทุกขวดเลยครับ

และเมื่อที่พิมพ์อยู่นี่ ผมก็พบว่า ผมไม่ได้ถ่ายขวด wine มาเลยครับ รอบนี้  มีแค่รูปนี้รูปเดียวจริงๆ :(

wine me up
ร้านนี้มี live band ด้วยนะครับ เห็นว่ามาวันพฤหัสบดี ถึงวันเสาร์  แต่วันที่ผมเป็นวันพุธ เลยอด ไม่ได้ชมว่าฝีมือจะยอดเยี่ยมเพียงใด และจะเข้ากับร้านแบบนี้ได้มากหน่อยแค่ไหนครับ  เพราะร้านแนวๆนี้ ร้านอื่นเขาไม่มี Live Band สักร้านเดียวเลยครับ อย่างน้อยๆก็เท่าทีรีวิว ใน web จนถึงณ ขณะนี้นะครับ

ครับ ก็อย่างที่เขียนแหละครับ  ร้านนี้อาหารอร่อย บรรยากาศใช้ได้ ราคาก็ไม่แพงนะครับ ผมไปกัน 10 คน wine 4 ขวด  ออกมา คนละ 1200 บาทครับ ราคาก็ ok เช่นกันครับ  ติดต่อร้านที่เบอร์ 02-185-2455 ครับ