วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

รีวิว ร้านอาหาร คิตะโอจิ กรุงเทพ, Kitaohji Bangkok ที่ทองหล่อซอย 8

Kitaohji Bangkok
(บทความนี้เป็นบทความที่ 100 ของ Blog นี่แล้วครับ ไชโย)

ร้านนี้ บอกได้เลยว่ารู้สึกเสียดายที่รู้จักร้านนี้ช้าเกินไป  ร้านนี้เปิดบริการมาเป็นปีแล้ว ผมเพิ่งจะรู้จักผ่านทาง facebook ของเพื่อนที่ไปทานมาครับ  ร้านที่ว่านี้คือร้าน คิตะโอจิ กรุงเทพ ที่ตั้งอยู่ที่ทองหล่อซอย 8 นั่นเอง  จุดสังเกต ก็คือถ้ามาจากทางถนนเพชรบุรี มุ่งหน้าถนนสุขุมวิท  ซอยแปดจะอยู่ทางซ้ายมือครับ ก็ให้เลี้ยวมาตรงที่เห็น community mall ที่ชื่อ ว่า Eight Thonglor นั่นแหละ  ตรงนั้นแหละครับคือซอยแปด  เลี้ยวซ้ายเข้ามาแล้วขับไปจนสุดกำแพงก็เลี้ยวขวา  แล้วก็จะเจอร้านอยู่ขวามือเลยครับ  มีที่จอดรถ และมีพนักงานดูแลต้อนรับ สะดวกครับ

Fanpage ของทางร้าน https://www.facebook.com/KitaohjiBKK/
website ของร้านครับ http://www.kitaohji.co.jp/    ร้านนี้มีสาขาแรก อยู่ที่ย่าน Ginza ประเทศญี่ปุ่น และก็ได้รับความนิยมเพิ่มเรื่อยๆ จนมีหลายสาขา และก็มาเปิดสาขาทองหล่อซอย 8 นี้เป็นสาขาแรกในประเทศไทย โดยการนำเข้ามาของกลุ่มสิงห์ ครับ

ที่จอดรถ Kitaohji Bangkok
ร้านใหญ่โต บริเวณกว้างขวาง น่าไปมากครับ  และตั้งแต่หน้าร้านมา จนเดินไปถึงโต๊ะ  พนักงานทุกแผนก เหมือนจะอุ้มเราเข้าไปในร้านเลยทีเดียว คือบริการดีมาก

Kitaohji Bangkok

Kitaohji Bangkok

Kitaohji Bangkok
ตอนที่ผมไปนี่มี เมนูพิเศษ เป็นพวกปูทาระบะครับ  คือร้านนี้เขาขายอาหารเป็น Kaiseki ก็คืออาหารออกมาเป็น อย่างๆ  ดังนั้นถ้าไปทานก็ต้องมีเวลามากหน่อย

Kitaohji Bangkok

ส่วนเรื่องราคาก็ตามรูป มีทั้งแบบหลายพัน กับแบบ หลายร้อย  เข้าใจว่าถ้าเป็นตอนเที่ยงก็จะมี set สำหรับเที่ยง ซึ่งราคาก็จะไม่แพงมากเท่า set ตอนเย็น

Kitaohji Bangkok
 ภายในร้าน แค่มุมนึงครับ  มีห้องส่วนรวมและก็มีห้องส่วนตัว

Kitaohji Bangkok
วันนั้นสั่ง set เนื้อ ชาบู มาทานครับ  ชุดนี้สำหรับสองที่ ซึ่งพนักงานเขาจะมาทำให้ และก็แนะนำการทานที่ถูกต้อง กับ ซอสที่ถูกต้องด้วย   

ร้านนี้เป็นร้านของเครือสิงห์คอร์ป ก็สามารถสั่งเบียร์ copper มาทานได้ด้วยครับ  เบียร์ copper ที่ขายในร้าน EST33 เป็นที่แรกไง แต่ผมไม่ได้ถ่ายมานะครับ ลืมได้ยังไงก็ไม่รู้

Kitaohji Bangkok

Kitaohji Bangkok
 อันนี้ไม่ได้อยู่ในชุดนั้น  เป็นอุด้งเย็น
Kitaohji Bangkok
 ปู ก็ไม่ได้อยู่ในชุด อันนี้เป็นอาหารที่มีเป็น โปรโมชั่นในช่วงวันที่ไปทานครับ  คือต้องคอยติดตามข่าวสารในหน้า fanpage ว่า ตอนนี้มีอะไรอร่อยๆ ทานบ้าง  ดีครับ ไม่เบื่อดี

Kitaohji Bangkok
 แค่ดูรูปยังน้ำลายไหล
Kitaohji Bangkok

Kitaohji Bangkok

Kitaohji Bangkok
จานนี้ก็อีกครับ สั่งเป็นจานเดี่ยวๆ มา เป็นเนื้ออะไรสักอย่างอีกแล้ว จำชื่อไม่ได้  แต่อร่อยมาก

Kitaohji Bangkok
 ชามนี้เป็นเนื้อตุ๋น โปะข้าว ที่เห็นในเมนูโปรโมชั่นข้างบนครับ 590 บาท  ก็จะเป็นเนื้อหวานๆ
Kitaohji Bangkok
 ช่วงที่ไปมีอาหารประเภทปูและประเภทเนื้อ เป็น highlight อยู่ครับ
Kitaohji Bangkok

รวบรัดตัดความ ร้านนี้เป็นร้านที่ค่อนข้าง เป็นพิธีการ อาจจะต้องจองไปในบางกรณี  ส่วนราคาก็ค่อนไปทางสูง เพื่อแลกกับการที่ได้กินอาหารดีๆ บริการเยี่ยม ในร้านสวยๆ จากร้านที่มาจากญี่ปุ่นแท้ๆ ถือว่าไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาบินไปรับประทานที่ญี่ปุ่นครับ  ร้านนี้เยี่ยมจริงๆ

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

รีวิวกล้อง NIKON D500 กล้อง DX format ตัวเทพตัวล่าสุดจาก NIKON

NIKON D500
อันนี้ จะเรียกรีวิวแบบที่คนอื่นเขาทำกันก็คงไม่ได้นะครับ เพราะผมจะไม่ลงรายละเอียดเรื่อง spec หรือรูปภาพ ตัวอย่าง อะไรมาก เพราะว่าเขาก็ทำกันทั่วไปแล้ว และใน web Nikon เองก็มีด้วย  เอาว่า อันนี้เป็นบทความเฉพาะความเห็นของผม เลยที่ใช้กล้องตัวนี้มา ตอนนี้ก็ได้ประมาณห้าวันพอดีครับ

ถ้าใครติดตาม Ichiro's blog มานาน จะทราบว่า ผมเป็นสาวก Nikon เลยละ ไม่เปลี่ยนใจไปใช้ canon หรือ Sony บ้างเลย  ( ที่เป็นกล้อง pro นะครับ  ไม่นับ กล้องเล็กๆ ที่ผมเอามาถ่ายเล่นๆ สลับบ้าง เพราะว่ากล้องใหญ่มันก็หนักเนอะ)

ไม่ต้องย้อนอดีตไปไกลถึงสมัยที่ผมใช้ กล้องฟิลม์ ของค่าย Nikon จนกระทั่งเริ่มเปลี่ยนมา Digital ก็ใช้ D80 ใช่ปะครับ แล้วผมก็เปลี่ยนมาใช้ D300 ไม่ใช่ D300s นะครับ  ตัว D300 เลยละที่ผมใช้ถ่ายตั้งแต่ก่อนที่จะมี Blog นี้ และก็ซื้อ Lens 17-55 f2.8 มาใช้ ซึ่งตัวนั้น ใช้มากว่า สิบปีแล้วตอนนี้ยังใช้ถ่ายงานอยู่เลยครับ ติดกับกล้อง D7100 น่ะครับ  กลอ้ง D300 เป็นกล้องที่ผมชอบมากที่สุดตัวหนึ่งในชีวิตของผมเลยครับ  และตอนนี้ก็ยังชอบอยู่  กล้องตัวนั้นเป็นกล้องระดับโปรสุด ของรุ่นเล็กของค่าย  เพราะว่าตอนนั้นก็ยังไม่มี fx format ที่เป็นตัวเล็กด้วย และจากกล้อง D300 นั่นแหละที่ผมเรียน เทคนิคการถ่ายรูปมาตั้งแต่นั้น




และสุดท้าย ก็มาใช้ full frame ของ NIKON เป็น  D800E ที่เป็น Fx format แล้ว  ตอนนี้ก็ยังใช้ FX อยู่  อ้าว ก็ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ทำไม ผมกลับไปซื้อ D500 ที่เป็น DX มาทำไม  บางคนอาจจะถามแบบนี้  บทความนี้ผมจะตอบแต่คำถามนั้นแหละครับ ว่าทำไม ผมถึงกลับไปซื้อ DX format ตัวนี้อีก ทั้งๆที่ก็ปัจจุบันก็มี กล้องหลายอันแล้ว  แล้วจะใช้อันนี้ทำอะไร

Spec ของกล้องครับ อันนี้เอามาจาก web nikon เลย
spec เทพ 10 frame per second ต้องมาคู่กับ ระบบ focus ที่ดี ที่ให้มาถึง 153 AF points กับ ISO range ที่สูงมาก

กล้อง NIKON D500 ตัวนี้ผมได้มาจากร้าน Big camera ที่ Central world ครับ ซื้อมาพร้อมกับเลนส์ใหม่ของผมตัวนึง ก็คือ16-80mm  f2.8-4E Dx ครับ  ราคา กล้องก็ เกือบเจ็ดหมื่น ส่วนเลนส์ก็สามหมื่นต้นๆ  กล้องตัวนี้มาแต่ตัว ไม่มี kits มาให้ครับ  และผมก็ไม่อยากไปเอา 17-55 มาใส่มันด้วย  ผมว่าตัวนั้นมันใช้มานานแล้ว และค่อนข้างหนักด้วย

Nikon D500 รีวิว

เหตุผลเลยที่ผมเลือกซื้อ NIKON D500 นะครับ

ข้อแรก

ผมเป็นสาวก ครับ สาวก NIKON ครับ เป็นข้อแรกเลย  และก็มีอุปกรณ์ของค่ายนี้เต็มไปหมด ทั้ง flash ทั้งเลนส์ การอยู่ค่ายเดิม ทำให้งบไม่บานปลาย


สาวก NIKON
ถ่าน ของ D800E กะ D500 ก็ใช้เหมือนกัน ที่ charge ก็ใช้ด้วยกันได้ อีก



แกะกล่อง Nikon D500

ที่ชาต Nikon D500 เป็นร่น MH-25A ส่วนที่ได้มพร้อม  D800E เป็น MH-25  คือขนาดเท่ากัน เหมือนกัน ชาตแบต ด้วยกันได้
ที่ ชาต Nikon D500 D800E
 ถ่านนะครับ ให้มารุ่นเดียวกันเปี๊ยบ คือ EN-EL15  7.0V 1900mAh คือน่าจะให้ถ่านที่เก็บพลังงานได้มากกว่านี้มา  เพราะกล้อง D500 มีโหมดหลายโหมดที่ใช้พลังงานมากเลยครับ จะเล่าให้ฟัง ต่อไป

ถ่าน Nikon EN-El15 7.0V

แกะกล่อง D500

Memory slot ใส่ SD card กับ XQD card เลิกใช้ CF card ไปแล้ว  (D800E ยังใช้ CF card ครับ )
ความเร็วในการถ่ายข้อมูลของ XQD card เร็วกว่า sd card เยอะครับ  แต่ว่าปัญหาคือหาซื้อยาก และตัว reader ก็ยังหายากเช่นกัน ทั้งๆ ที่ card นี้ใช้มาใน D4 D4s และ D5 แล้ว

Slot ใส่ memory ของ D500

ข้อสอง
ผมอยากได้ กล้องที่ไม่หนักเหมือน กล้อง D800E ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ และยังถ่ายได้เทพๆ เหมือนกันน่ะครับ กล้อง D500 นี่เบากว่ามาก และก็เลนส์ที่เลือกมาใส่ ก็เบาด้วยครับ ตอนนี้น้ำหนักแบก จากเดิมที่แบก กล้อง D800E กับเลนส์ 16-35f4 อยู่ มาแบกตัวนี้ เบาลงไป ถึง สี่ร้อยกรัม เลยมั้งครับ  เบากว่าเยอะครับ  เพราะเลนส์ครับบอกเลย   และก็การเรียนรู้ใหม่ก็ไม่ต้องเยอะ เพราะว่ามันเกือบเหมือน ตัว D800E เลย

ถือมือเดียว เป็นแบบนี้
Nikon D500
 เลนส์ 16-80 f2.8-4 นี่ก็เป็นเลนส์ขอบทอง ของค่ายเหมือนกัน  คือเป็นเลนส์เกรดโปร นั่นเอง  กล้อง D500 ก็เป็นกล้องเกรดโปร นะครับ
16-80 f2.8-4 Dx
 มาวัดขนาดกัน ระหว่าง D800E กับ D500   ดูหน้าตาแล้ว d500 นี่หน้าตา full frame มากครับ  จากรูป แม้ขนาดจะดูไม่เล็กกว่ากันมาก แต่ก็เบากว่ากันอยู่ขีดนึงครับ หรือ 100 กรัม

Nikon D800E vs D500


Nikon D800E vs D500

Nikon D800E vs D500
 ย้ายปุ่ม วัดแสง กับ ปุ่ม iso ไปที่ใหม่ครับ  จะทำให้งง ได้ตอนแรกๆ  แต่ทั่วๆไปก็เหมือนกัน ก็ไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่มาก

ดูด้านหลัง นี่ยังกะ fx ทีเดียว โดยเฉพาะตรง view finder   ทีเด็ดของ D500 คือจอนี่พับขยับได้ครับ เพื่อความสะดวกในการ ใช้ live view ถ่ายรูป  และตรงจอดูภาพนี่ก็ เป็น touch screen ด้วย

และข้อควรรู้คือ D500 ไม่มี flash นะครับ  แต่ D800E หรือ D300 น่ะมี
Nikon D800E vs D500

Nikon D800E vs D500
ข้อสาม

ข้อสามเป็นเหตุผลสำคัญข้อนึงเลย  กล้องตัวนี้ สามารถแชร์รูปได้เลย สักทีครับ ไม่เหมือน d800E นั่นถ้าจะแชร์รูปต้องใช้เมมโมรี่การ์ดที่มี wifi และแชร์จากเมมโมรี่การ์ด  แต่ว่า กล้อง D500 นี่มากับ WiFi และ Bluetooth ในตัว  และโปรแกรมใหม่จากค่าย Nikon คือ Program Snapbridge http://snapbridge.nikon.com/

ซึ่งถ้าใช้ snapbridge จะส่งรูปเข้ากล้อง อัตโนมัติทันทีที่ถ่ายเลยก็ได้  ถ้าเลือก auto ไว้นะครับ  และก็สามารถอัพโหลด ตอนที่ปิดกล้องไว้ก็ได้อีก  ซึ่งผลก็คือ มันจะกินถ่านครับ ถ้าตั้ง auto 

ส่วนรูปที่ถ่าย จะใส่ลายน้ำ และไปอัพโหลดใน image space ของ Nikon เลยก็ได้ด้วย https://www.nikonimagespace.com/

ตอนที่ผมลองใช้นี่คือเดือน กรกฎาคมปี 2559 ซึ่งตอนนี้ snapbridge ยังมีแค่ ใน Android download จาก Google play เท่านั้นนะครับ  ใน iphone Ios นี่ยังไม่มี  เขาบอกว่าจะได้เดือน สิงหาคม 2559 

Nikon Snapbridge
 เท่าที่ใช้มา ก็ใช้ดี ต่อง่าย  ใช้ load รูป หรือใช้คุมกล้อง ก็ได้  การ sync มือถือกับกล้อง ทำให้ เวลาใน กล้อง มัน sync และ location ของรูปถ่ายก็ sync ด้วย

Nikon Snapbridge
 หน้าจอ เป็น touch screen  ดีงามมาก  บังคับเหมือนหน้าจอมือถือนั่นแหละครับ  การถ่ายก็ง่ายมาก แค่เอานิ้วไปจิ้ม ตรงที่ต้องการจะ focus พอ focus ได้แล้ว กล้องก็จะถ่ายเลย

นี่ถ้าเทียบกับตอนได้ D300 มาใหม่ๆ กับใช้ D500 ตัวนี้นะครับ  ตัวนี้เข้าใจง่าย ใช้งานง่ายกว่าเยอะเลย

Nikon D500
ภาพข้างล่างนี่ ผมไม่ได้ ย่อครับ ไม่ได้ทำอะไรเลย เอามาจาก กล้องเลย  ตั้งกล้อง เป็น file jpg ขนาด normal  และตอนนั้นไปถ่ายข้างนอกมา ลอง iso 3200 เลยลืมเปลี่ยน ใครอยากดู grain ก็ลอง ดูรูปล่างนี้เป็นตัวอย่างได้ครับ

mode P  1/100 f5 iso3200  focus length 26 mm WB auto
ข้อสี่  เพราะว่าผมรัก D500 ตั้งแต่ shutter แรก

เสียง shutter ของมัน ฟังหนักแน่น หนึบ ไพเราะมากสำหรับผม กล้องตัวนี้ มี ISO range ที่กว้างมาก และใช้ได้จริง มีการ จุด focus ที่เยอะ แม่น ทำให้การเก็บภาพสวยๆ ทำได้ง่ายดายมาก

ภาพ ถ่ายในที่มืดครับ ตัวอย่าง สองภาพ ไม่ได้ย่อ ไม่ได้ทำอะไรเลย ออกจากกล้องมายังไง post มาอย่างนั้น

ที่ ISO สูงขนาดนี้ ยังทำได้ ดีขั้นนี้

โหมด P  S1/3 F3.3 ISO10000

S1/3 F3.3 ISO10000


โหมด P  S1/6 F3.3 ISO20000
S1/6 F3.3 ISO20000
ที่เหลือ เป็นภาพ จากกล้อง ที่ผมไปลองถ่ายมาช่วงนี้ครับ  ก็ใส่ลายน้ำ sharpen นิดหน่อย และย่อรูป นอกนั้นไม่ได้ทำอะไร

ทุกภาพ ใช้ D500 กับ เลนส์ตัวเดียวกันหมด คือ 16-80 mm f1.8-4 ครับ

Nikon D500 รีวิว

Nikon D500 รีวิว



Nikon D500 รีวิว

 ถ่ายงานในที่มืด พร้อมๆ กับเคลื่อนไหว ไปด้วย  จับภาพ ได้ ง่ายดาย

Nikon D500 รีวิว

Nikon D500 รีวิว

Nikon D500 รีวิว
Nikon D500 รีวิว
รูปตัวอย่าง ดู เท่านี้พอครับ  ขอสรุปใจความข้อดี และข้อเสียของ D500 ในความคิดของผมอีกทีครับ

ข้อดี ของ D500

สามารถใช้กับ อุปกรณ์ DX ที่มีอยู่แล้วได้  และอุปกรณ์ DX ใหม่ๆ ก็ไม่แพงด้วย ยิ่งเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ของ FX format

คุณภาพระดับโปร  ยก ระบบประมวลผล EXPEED5 กับระบบ AF 153 จุด cross type  ฟังก์ชั่นตรวจจับระยะทาง TTL มาจาก D5 ทำให้การ focus แม่นยำ รวดเร็ว ยิ่งนัก

Function เสริม มือสมัครเล่นก็ชอบยิ่งนัก  ใช้งานไม่อาย กล้องใดๆ แน่นอน ยิ่งต่อ WiFi Bluetooth และมีหน้าจอ touch screen ยิ่งทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นมากเลย

ตัวถังทนทาน น้ำหนักไม่หนักมาก  ไปลุยภาคสนาม ไปไหนไปกันเลยครับ ราคาประมาณนี้ด้วย ไม่ต้องเสียดายกันมาก เหมือนซื้อตัวใหญ่ๆ อย่าง D5

ข้อไม่ค่อยดี ของ D500

ตอนนี้ยังใช้ snapbridge กับ I phone ไม่ได้

แบตเตอรี่น่าจะปรับปรุงสักหน่อย ตั้งนานแล้วยังใช้เหมือนเดิมอยู่เลย

หาซื้อ XQD card ยังยากอยู่เลย และราคาก็ไปทางสูง อยู่ครับ

ไม่มี flash นะครับ (ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ใช้ flash ที่ติดกับตัวกล้อง อยู่แล้ว)

เวลาเปิด wifi หรือ blue tooth ไว้นะครับ  แบตจะไหลตลอดเวลา แม้ในเวลาปิดเครื่อง เพราะเขามี mode โอนภาพแม้เวลาปิด  ดังนั้นควรตั้งเป็น manual ไว้

ตอนนี้เพิ่งใช้มาแค่ ไม่ถึงสิบครั้งครับ ไว้ พบข้ออะไรเพิ่มเติมแล้วจะมา ปรับปรุงบทความนี้อีกแล้วกันครับ เป็นส่วนเพิ่มเติม  ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านครับ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

รีวิวร้านอาหาร มารุ ไคเซกิ , Maru Kaiseki ทองหล่อซอย 3

Maru Kaiseki
มาเขียนรีวิวร้านอาหารแบบสั้นๆกันอีกสักอันนึงครับ  ร้านนี้ไปด้วยความบังเอิญ ก็เลยเอากล้องตัวเล็กไปถ่าย  กับอาหารก็ไม่ค่อยได้ถ่ายมามาก ดูเท่าที่มีครับ

ร้าน มารุ ไคเซกิ ตั้งอยู่ที่ทองหล่อซอยสาม และวันธรรมดาเปิดเฉพาะตอนเย็นครับ  ส่วนที่จอดรถก็มีไม่มากนัก อยู่ที่หน้าร้าน อาจต้องจอดขวางๆ กันบ้าง  แต่เห็นส่วนใหญ่ที่ไปในวันนั้นก็เป็นคนทำงานชาวญี่ปุ่นทั้งนั้น เขาก็มีคนขับรถขับมาส่งกัน ก็ให้คนขับรถเลื่อนรถให้ได้ครับ

ร้านเปิดมา สิบกว่าปีแล้วครับ น่าจะเกิน สิบห้าปี อันนี้คือ facebook fanpage ของทางร้าน https://www.facebook.com/marukaiseki  ร้านตั้งอยู่ที่ซอยทองหล่อ ซอยสาม  เรียกว่าลง BTS ทองหล่อมาแล้วก็เดินเข้ามาทานก็ได้เข้าซอยไม่ลึก  และอีกอย่างทีแรกผมก็เข้าใจว่าที่นี่ราคาอาจจะแพง แต่พอดู set menu แล้วก็พบว่า มี set 500 บาท สำหรับมื้อเย็นด้วย  ผมว่าไม่แพงเลยนะสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นจริงๆ แบบร้านนี้

หน้าร้าน มารุ ไคเซกิ ครับ

มารุไคเซกิ
 ร้านนี้ไม่ใช่เป็นร้าน ซูชิ นะครับ แต่เป็นร้านที่มีซูชิ ดีๆ ขายด้วย ปลาก็มาจากตลาดซึกิจิ นี่แหละ เหมือนที่อื่น  และทางร้านเขาจะ post ไว้ใน facebook บอกว่า วันนี้มีปลาอะไรเข้ามาใหม่บ้างด้วย

Maru Kaiseki
ผมมาจองนั่ง counter ตามฟอร์ม  เพราะผมชอบตรงนี้มากที่สุด จะได้ดู chef ทำอาหาร ได้คุยกับเขาไปด้วย  ผมว่ามีหลายคนที่ชอบทำแบบนี้เหมือนกัน  แต่พวกที่มาคุยกันเองคงไม่ค่อยชอบนัก  ร้านมี chef เป็นชาวญี่ปุ่นอยู่ครับ 

motto ของร้านนี้คือคำว่า "อิจิบัง มาจิเมะนะอาจิ"  รสชาติที่เป็นที่หนึ่งในด้านความเปี่ยมด้วยความตั้งใจ

Maru Kaiseki

Maru Kaiseki
Kaiseki  คำว่า ไคเซกิ เป็นคำที่หมายถึงอาหารที่ออกมาทีละอย่าง เป็น course ครับ  ส่วน รูปเมนูที่แสดงในรูปล่าง คือรูป set ที่ผมว่า ว่าราคา 500 บาท  แต่รวม service charge ต่างหากครับ คงรวมๆ ออกมาประมาณหกถึงเจ็ดร้อยบาท 

ชุดห้าร้อยบาทก็มี ชูดซุชิ กับชุด ไคเซกิ เบนโต

Maru Kaiseki
 ในรูปนี้มีเมนู สุกี้ ต้องสั่งสองคนขึ้นไป  ราคา 1000 บาท ต้องสั่งวันอาทิตย์กับจันทร์ ถึงได้ลดราคา  กับชุดซุชิปลาทูน่า  ชุดนี้พันบาท
Maru Kaiseki
 แล้วก็ เมนู a la carte  ลด 20% เช่นกัน เฉพาะวันจันทร์

Maru Kaiseki
เอาสาเก มาก่อนเป็นอย่างแรก
Maru Kaiseki
ก่อนจะคิดอะไรได้  เอาอุนิ มาทานก่อนสองคำครับ  อร่อยมากเลย

Maru Kaiseki

รูปนี้เอามาจาก รูปที่แปะอยู่ใน facebook fanpage ของทางร้านครับ   ผมสั่งชุด 9 อย่าง ในนี้ ก็ราคา สองพันบาทครับ

เมนู ร้าน มารุ ไคเซกิ
เก้าอย่าง ผมคิดว่า กำลัง พอดีๆ ครับ  ไม่แน่นเกินไป 

อย่างแรก เป็นออเดิร์ฟ
Maru Kaiseki

ต่อด้วย ซาซิมิ

Maru Kaiseki

อันนี้ เป็นของนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าทานอะไรไป

Maru Kaiseki

ปลา
Maru Kaiseki

ของทอด ได้มาเป็นไข่ ชุบแป้งกรอบๆ ทอดครับ

Maru Kaiseki

มาถึงตรงนี้ คือครึ่งทางแล้ว ก็จะมี เปรี้ยวๆ มาคั่น

Maru Kaiseki

ซูชิ อันนี้เป็นสุดท้ายครับ  ให้ทาน จากทางซ้ายไปทางขวา  เชฟ บอกว่าเช่นนั้น

Maru Kaiseki

ซูชิ นั้นมาพร้อมซุป

Maru Kaiseki
และจบด้วยผลไม้ ซึ่งฤดูนี้มีเป็นมะม่วง

Maru Kaiseki
อิ่มอร่อย สมกับที่เป็นร้านที่หลายๆ คนบอกว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ ครับ  เรื่องราคา สูงไม่สูงนั้น เป็นเรื่องความเห็นของส่วนบุคคล  ราคาเริ่มต้นที่ ห้าร้อยบาท ต่อ set สำหรับร้านระดับนี้  ยังแพงอีกเหรอครับ