วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

รีวิวร้านอาหาร ศาลา รัตนโกสินทร์ (sala Rattanakosin)

ศาลา (sala) รัตนโกสินทร์ 
รีวิวอันนี้เป็นรีวิวที่ใช้เวลารอคอยนานมากที่สุดตั้งแต่ทำรีวิวมา  เพราะว่าผมเริ่มคิดจะไปลองทานร้าน ศาลารัตนโกสินทร์ มาตั้งแต่ไปทานร้านอาหาร และพักที่โรงแรม ศาลาอยุธยา http://phongthon.blogspot.com/2014/12/sala-ayutthaya-sala.html  จนไป ศาลา ล้านนา มาก็แล้ว ก็ยังไม่ได้ไปที่นี่สักที จนกระทั่งเมื่อไปมา ผมถึงเพิ่งเข้าใจได้ ว่าทำไมถึงไม่ได้ไปสักที ก็เพราะผมเล่นจอง ที่นั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่ีงที่ศาลา รัตนโกสินทร์นั้น มีที่นั่งที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาเลย จริงๆ เนี่ย มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นเองครับ  สรุปเลยรอมาสามเดือนได้ละมั้ง กว่าจะได้มานั่งตรงนี้

โรงแรมและร้านอาหารศาลา นี่ก็มีจุดขายตรงที่เขาวิวสวย มีเท่าที่ผมรู้จักอยู่ในเครือนี้ เขาก็จะมีที่ดินที่อยู่ตรงข้าม ที่ที่มีวิวสวยๆ แล้วก็มาสร้าง Landmark อยู่ตรงข้ามที่เหล่านั้น  คือซื้อที่ไป แถววิวไปด้วย ก็ดีเหมือนกัน

อันนี้ website ของ โรงแรมและร้านอาหาร ศาลา รัตนโกสินทร์ครับ http://www.salaresorts.com/rattanakosin/

สำหรับที่จอดรถของศาลารัตนโกสินทร์เอง เลยนั้น ไม่มีครับแต่ให้ไปจอดรถอยู่ตรงซอยข้างๆวัดโพธิ์ ซึ่งจะเสียค่าที่จอด แต่การปั้มตราที่จอดรถมาจากร้านอาหารก็จะทำให้ประหยัดค่าที่จอดไปได้

ครั้งก่อนที่มาจอดตรงนี้ ก็คือครั้งที่มารีวิวที่ร้าน The deck by the river ที่อรุณเรสซิเดนซ์ครับ  http://phongthon.blogspot.com/2013/02/deck-by-river-arun-residence.html ที่จอดมีไม่เยอะครับ

ผมไปย้อนอ่านดูบทความที่ผมเขียนในเรื่อง The deck by the river แล้ว ผมพบว่า สิ่งที่ความรักกับการร่ำสุรานั้น เหมือนกันอีกอย่างนอกจากที่เขียนไว้แล้ว   ผมเขียนไว้ว่าเช่นนี้

"ถ้ามีการจัดอันดับร้านที่วิวสวย ร้านที่โรแมนติกเหมาะแก่การพาคู่รักมา Dinner มาเดท  ผมว่าน่าจะต้องมีร้าน The Deck By The river ร้านนี้ในบทความนี้อยู่ด้วยครับ อย่างน้อยก็ถ้าเป็นการจัดอันดับโดยผมอะนะครับ  ร้านนี้มันให้ความรู้สึกอบอวลไปด้วยความรักยังไงก็ไม่รู้โดยเฉพาะเมื่อเวลานั่งดื่ม ณ ที่แห่งนี้

จริงอย่างยิ่งที่ความรัก ไม่สามารถเทียบกับการร่ำสุรา ได้ เพราะความรักสวยงามกว่าหลายเท่า แต่สุราและความรัก มักจะวนเวียนมาข้องเกี่ยวกันเสมอๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบรสชาติของการร่ำสุรา มักจะอยากเอาสิ่งทั้งสองอย่างนี้มาเปรียบเทียบกัน 

ความรักกับการร่ำสุรา นั้นมีความคล้ายกันหลายอย่าง ทั้งสองอย่างเมื่อได้เสพแล้วมันทำให้เรามีรอยยิ้ม มีความสุข ทั้งสองอย่างสามารถทำให้เรามึนเมา มัวเมา จนความสามารถในการใช้เหตุผลน้อยลง แต่อารมณ์ความรู้สึกนั้นพลุ่งพล่าน

หลายครั้งที่เมื่อเมาเหล้ามากเกินไป ตื่นขึ้นมา อ๊วก ปวดหัวไปข้ามวัน มันทรมานจนเราคิดว่าจะไม่ดื่มหนักขนาดนี้อีกแล้ว แต่บ่อยครั้งที่มันก็ยังเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก   ความรักก็เช่นกัน เมื่ออกหักมาปวดร้าว คาใจ ฝังใจ ประดุจการเมาค้าง "เมาความรักค้าง"  กินไม่ได้นอนไม่หลับ บอกตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่รักใครอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังโหยหาต้องการความรักอยู่อย่างนั้น แม้จะรู้ว่าอาจจะต้องเจ็บปวดอีกตามเคย"


จริงอยู่ที่ความรักและสุรานั่น ทำให้มัวเมาและพลุ่งพล่าน  และก็เมาค้าง  แต่ถึงจะเมาเหล้าหรือเมารักค้างยังไง สุดท้ายก็จะหลุดพ้นมันได้ มันเป็นเพียงแค่ "ความเคยชิน" เท่านั้น มันไม่ได้มีค่าอะไรในชีวิตคนมากขนาดที่คนเขียนเปรียบเปรยถึงคุณค่าของมันขนาดนั้น

และหลายครั้งเลยที่คนเราเอา "ความรัก" คำว่า "รัก" มาเป็นข้ออ้างในการเหนี่ยวรั้งชีวิตของคนอื่นไว้ ด้วยคำว่ารัก  แท้จริงแล้ว เพราะคำว่ารัก คำเดียวกันนั้นเอง เราจึงควร ปล่อยให้ใคร ออกจากชีวิตของเรา ไม่ควรเก็บเขาเอาไว้ ให้เป็นคนที่มีแต่ตัวที่อยู่กับเรา  แต่วิญญาณของเขานั้น จากไปนานแล้ว

ที่จอดรถ Sala Rattanakosin

ที่จอดรถ ศาลา รัตนโกสินทร์
ศาลา รัตนโกสินทร์
แถวๆนี้ มีร้านที่ ขึ้นแบบเดียวกันอยู่หลายร้านเลยครับ ไม่ใช่มีแค่ที่นี่ที่เดียว  อย่างในรูปข้างล่างนี้ ข้างๆ ศาลา รัตนโกสินทร์ ก็มี ศาลา อรุณ

ศาลา รัตนโกสินทร์
ที่ทางเข้า จะเป็นห้อง และซอยเล็กๆ แบบนี้
ศาลา รัตนโกสินทร์
เราไปกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน  และก็มีคนนั่งอยู่บ้างแล้ว  การจองที่นั่งที่นี่ ถ้ามาช่วงแรก จะนั่งได้ถึงประมาณสองทุ่ม แล้วเขาก็จะปล่อยคิวจองให้ คนที่จองมาตอนกลางคืน หลังสองทุ่มอีกชุดหนึ่ง

Sala Rattanakosin
 บอกเลยว่า ถ้ามาตอนห้าโมงครึ่ง ที่ศาลา รัตนโกสินทร์ ในเดือนมีนาคม เมษายน นี่ ต้องทนร้อนนิดนึง จนกว่า
Sala Rattanakosin
ที่โต๊ะที่ ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีแค่สองโต๊ะเท่านั้น  และถ้านั่งอยู่ตรงนั้นนะครับ จะมีญาติ ที่คุณไม่เคยพบ มาก่อน มาถ่ายรูป ตรงนี้ บางทีก็ข้ามหัวขณะที่คุณกำลังกินข้าวอยู่บ้าง  และคนเหล่านั้น เขาก็อาจไม่ได้มีที่นั่งด้วยซ้ำ แค่มาแล้วไม่มีที่นั่ง ก็เลย มาถ่ายรูปตรงที่ริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นที่ที่คุณนั่งอยู่ และก็จองมาเป็นเวลาหลายเดือนเช่นผม

คือใครๆ ก็คิดว่าตัวเองมีสิทธิโน่น สิทธินี้ทั้งนั้น แต่ไม่ค่อยคิดถึงสิทธิคนอื่นกันบ้าง

ศาลารัตนโกสินทร์
ออร์เดิร์ฟ เป็นแบบนี้
ศาลารัตนโกสินทร์
 เมนูครับ
ศาลารัตนโกสินทร์

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)
 ผมว่าที่นี่ บริการ ไม่ค่อยแน่ค่อยนอน  สำหรับผม ผมให้คะแนน แค่ สามดาวจากห้าดาว  ( จริงๆ แทบจะให้สองดาว ดีที่มีคนมาช่วย ) ครับ ที่อื่นเขาทำดีกว่านี้ หรือ แม้แต่ศาลา สาขาอื่น ก็ยังดีกว่าที่นี่เลย อย่างน้อยๆ ก็ในวันที่ผมไป
ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)
 สำหรับอาหาร ผมว่า ก็โอเค ครับ แต่ไม่ได้ บอกว่าอร่อยมาก อะไรเช่นนั้น ให้สามดาวจากห้าดาวเหมือนกัน  ผมว่าอย่าลืมว่าที่ริมแม่น้ำที่เห็น วัดอรุณฯ นั้น ไม่ได้มี แค่ที่นี่ที่เดียว  แถมที่นี่ ก็ค่อนข้างมีหน้าที่ติดน้ำแคบ มาก คือติดแค่สองโต๊ะเท่านั้น   ลูกค้ามีทางเลือก อื่นครับ

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)
ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

ศาลารัตนโกสินทร์ (Sala Rattanakosin)

สิ่งที่ผมทำในวันนั้นคือ นั่งไปเรื่อยๆ จนพระอาทิตย์ตก และรอให้เขาเปิดไฟขึ้นมาครับ

ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ เนื่องจากมีโต๊ะติดแม่น้ำแค่สองโต๊ะ ก็จะมีผู้คนมาเยี่ยมเรา คือมาถ่ายรูปตรงที่เรานั่ง บ้างก็มีมารยาท ไม่รบกวนเท่าไร บ้างก็มาถ่ายรูปข้ามหัวเรากันทีเดียว  และสำหรับ Sala Rattanakosin นี่ เขาให้จองได้ถึงแค่สองทุ่มเท่านั้น แล้วก็มีจองต่อ  ( อย่างน้อยๆ ก็ตรงที่ที่ผมนั่งอยู่) 

สรุปเลยครับ  ผมว่าที่นี่ น่าจะได้สักสามดาวจากห้าดาวครับ  เพราะราคาก็ไม่ถูก บริการก็ แล้วแต่ว่าได้บริกรท่านใดมา  และสถานที่ก็ค่อนข้างแคบ และเป็นที่นิยม เพราะดังมากเกิน ทำให้ใครๆก็ต้องมาที่นี่กัน  แม้ความจริงแล้ว วิววัดอรุณฯ ที่พวกท่านมาพยายามข้ามหัวคน เพื่อที่จะถ่ายรูปนั้น ก็สามารถหาได้จากร้านอื่นๆในย่านเดียวกัน ที่อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำไปครับ

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

พูดถึงญี่ปุ่น กันอีกที จากการไปครั้งล่าสุด เดือนมีนาคม 2558 นี้ กับโรงแรมไดอิจิโตเกียว ชิมบาชิ กินซ่า

Dai-Ichi Hotel Tokyo
ใครๆ ก็บินได้ และใครๆ ก็บินไปญี่ปุ่น  สองสามปีหลังที่ผ่านมา ตั้งแต่ญี่ปุ่นยกเลิกการต้องทำ VISA เข้าประเทศ สามารถเปลี่ยนหน้าตาการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเป็นแบบ ใครๆก็พากันไป  ญี่ปุ่น  จากที่เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน เราจะเห็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาไทยกันเยอะๆ  ตอนนี้กลับกันแล้ว เป็นนักท่องเที่ยวไทยต่างหากที่ไหลไปญี่ปุ่น  และครั้นคนญี่ปุ่นคิดจะมาไทยบ้าง  บางช่วงก็เรียกว่า อย่าหวังจะมากันเลยทีเดียว  เพราะว่าเครื่องบินเต็ม  ที่เต็มนี่ไม่ใช่อะไรนะครับ คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นนั่นแหละ  พอไปแล้วก็ต้องบินกลับ ก็เล่นไปกันเยอะขนาดนั้น ขากลับก็เลยเต็มตลอด  คนญี่ปุ่นก็เลยไม่มีที่นั่งมา

พูดถึงความง่ายในการท่องเที่ยวกันด้วย สมัยนี้การเดินทางก็แสนง่าย เพราะมีทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย  ครั้งนี้ที่ผมไป เพียงแค่ผมไปยืนๆ งงๆที่หน้าป้ายแผนที่รถไฟใต้ดิน  ก็มีคนญี่ปุ่นที่เดินอยู่แถวๆ นั้นมาคุยด้วย แล้วถามว่า "Can I help you? " ถึงสองครั้งสองคราทีเดียว  คนญี่ปุ่นตอนนี้ต้อนรับนักท่องเที่ยวกันมาก  และน่าจะมีมุมมองต่อนักท่องเที่ยวไทย ดีขึ้น  ( แต่ผมว่านักท่องเที่ยวไทยนั่นแหละ ที่ทำภาพลักษณ์ตัวเองเสื่อมเสีย  อย่าไปโทษชาติอื่นเลย)

ไปญี่ปุ่นครั้งนี้ ไปนอนสองคืนเท่านั้นที่โรงแรม Dai-Ichi Hotel Tokyo ตรงย่าน กินซ่า ครับ อันนี้ เวปไซด์ของโรงแรม
http://www.hankyu-hotel.com/hotel/dhtokyo/index.html
โรงแรมเป็นเครือของ Hankyu Hotel  โรงแรมอยู่ในย่านที่เดินทางสะดวกสบายมาก  จากใต้ดินของโรงแรม มีทางเชื่อมเข้าสู่สถานีรถไฟ Shimbashi  ได้เลย  ซึ่งสถานีนี้ สะดวกมาก เพราะเป็นชุมทางของรถไฟสายสำคัญหลายสาย เช่น เดินทางโดยรถไฟมาจากสนามบิน Haneda ก็ตรงมาลงที่สถานี Shimbashi ได้เลย  สะดวกทั้งไปกลับ  เสียค่ารถไฟประมาณหนึ่งพันหนึ่งร้อยเยน เท่านั้น  หากเทียบกับขึ้น Taxi ที่ราคา จากตรงนั้นถึงสนามบินก็ราวหกพันเยน ครับ

Dai Ichi Hotel Tokyo

Dai Ichi Hotel Tokyo

Dai Ichi Hotel Tokyo
ห้องพัก ก็กว้างขวาง และผมว่าราคาก็สมเหตุสมผล  ยิ่งถ้าหักลบกับค่าเดินทางที่ต้องใช้ หากไปพักตรงอื่นแล้ว

Dai Ichi Hotel Tokyo

Dai Ichi Hotel Tokyo


Dai Ichi Hotel Tokyo
 หากไม่ถนัดนั่งรถไฟ หรือถนัดแต่ของเยอะ ก็ใช้บริการ Airport Limousine Service ก็ได้ครับ
Airport Limousine Service , Haneda Airport
ผมมาครั้งนี้ มาเพื่อไปดูงานที่ Tokyo Big Sight ซึ่งก็สะดวกมากจากโรงแรม เพราะตรงนี้เป็นต้นทาง ของ สถานี ยูริคาโมเม ไลน์  Yurikamome line ครับ ซึ่งเป็นรถไฟที่ใช้ไป Odaiba ที่เขาไปดู กันดั้ม ไปดูเทพีเสรีภาพกันนั่นแหละ  Yurikamome line นี่ผ่าน Tokyo Big Sight ด้วย

Kokusai-tenjijo-Seimon
นั่งรถสายนี้ จะได้ข้ามสะพาน Rainbow bridge โดยผ่านทาง รถไฟ  (ทางรถไฟกับ ทางรถยนต์ อยู่บนสะพานเดียวกันเลย)

Rainbow bridge

Tokyo Big Sight

Tokyo Big Sight

ผมว่า Tokyo Big Sight นี่มีจัดงานที่น่าสนใจ ทั้งปีเลยครับ http://www.bigsight.jp/english/

Tokyo Sushi

Ichiro in Tokyo
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้ คือ ปกติผมจะพักที่ ชิบูย่า ไม่ค่อยมา กินซ่า หรือ ชิมบาชิ เท่าไหร่ เพราะนึกว่ามันแพง และไม่สะดวก  ผมโง่อยู่ตั้งนาน ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่คนโตเกียว  แม้จะไปญี่ปุ่นกี่ครั้งกี่ครั้งก็ยังหลงประจำ ครับ   ( จริงๆ อยู่กรุงเทพ ก็หลง )

ขอบคุณสำหรับการติดตาม ครับ

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

การทำลายลาเต้ อาร์ต ด้วยตัวเอง โดย Chibi Chibi Cafe & Atelier

Chibi Chibi Cafe & Atelier
วันนี้เราไม่ได้มารีวิวร้าน แต่เรามาขอให้เจ้าของร้าน Chibi Chibi Cafe มาช่วย เป็นนายแบบและวิทยากรให้ Ichiro' Blog ทำวีดีโอ เรื่องวิธีการทำกาแฟ การทำลายลาเต้อาร์ต ด้วยมือ และการทำด้วยเครื่อง

นานมากตั้งแต่ที่คุณ Mali Mali เปิดร้านเก่ากับเพื่อน ที่ผมก็ไม่ได้ไปรีวิวสักที จนร้านใหม่เปิด ก็กว่าจะได้ไปก็ผ่านไปเนิ่นนานจนได้มีโอกาสไปในครั้งนี้ครับ  ร้าน Chibi Chibi Cafe & Atelier เป็นร้านที่อยู่ในส่วนหนึ่งของอพาตเม้นต์ หรือคอนโดมิเนียมนี่แหละ ในซอยศรีอยุธยา สอง ถนน รางน้ำ  ( ผมติดเรียกตรงนี้ว่าเป็นซอยรางน้ำมากเลยละครับ )

ถนนที่จะเข้ามาที่ร้านนี้เป็นถนนเล็กๆ เดินรถทางเดียว โดยให้เข้าจากซอยรางน้ำมาครับ  ที่ปากซอยจะมีร้าน Seven อยู่ ให้เป็นที่สังเกต

Facebook ของทางร้านครับ https://www.facebook.com/chibichibicafe

ร้านให้บรรยากาศเหมือนคาเฟ่ ในประเทศญี่ปุ่นมากครับ  และเขาใช้ของดี ลองไปเดินสำรวจได้ครับถ้าไปแถวนั้น  ส่วนผมไม่ได้ทานอะไรหรอกครับรอบนี้ เพราะเรามาขอร้องให้ คุณกอล์ฟ เขาช่วยเป็นวิทยากร สอนเรื่องกาแฟให้

ผมว่าคุณกอล์ฟกับคุณเจี๊ยบ นี้เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ ที่มีความพิเศษ ทำให้อาจอยู่ยากในสังคมไทย โดยเฉพาะกับยุคสิบปีหลังมานี้ ( แซวซะเลย :) )

Chibi Chibi Cafe & Atelier

Chibi Chibi Cafe & Atelier
Chibi Chibi Cafe & Atelier

Chibi Chibi Cafe & Atelier

Chibi Chibi Cafe & Atelier

Chibi Chibi Cafe & Atelier

Chibi Chibi Cafe & Atelier
ผมทานกาแฟมานาน จนฟันเหลืองไปหมด แล้วแต่เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องกาแฟสักเท่าไหร่เลย  ครั้งนี้ที่ได้เรียนรู้มาจากที่ร้าน ก็มีเรื่องดังนี้ครับ

เรื่องแรก คือเรื่อง ความแตกต่างของ คาปูชิโน กับ ลาเต้  จุดที่แตกต่างกันมาก คงจะเป็นเรื่องความหนาของชั้นฟองนม ( ตามความเข้าใจของผมนะครับ)

คุณกอล์ฟ
 คาปูชิโน มีฟองนมที่หนากว่า ทำให้ไม่สามารถทำลาย สวยๆ ได้เหมือนกาแฟลาเต้  ดังนั้นที่เห็นเป็น ลายบนกาแฟ ก็แสดงว่ามันเป็นกาแฟลาเต้    ผมก็เพิ่งจะรู้นี่แหละครับ โง่อยู่ตั้งนาน

ส่วนการทำให้นมอุ่น และใส่อากาศเข้าไป ก็ทำให้มันมีความหวาน และเป็นชั้นครีม ของนมและกาแฟ ที่น่าทานขึ้นมา

ซ้ายคาปูชิโน ขวาลาเต้

พอถามว่า การทำลาเต้อาร์ต ทำเองที่บ้านได้ไหม  คุณกอล์ฟ ก็เลยลองทำให้ดู ด้วยมือ ที่ว่าด้วยมือ ก็คือไม่ใช้เครื่องทำกาแฟช่วย

อันนี้ใช้อุปกรณ์ทำคาปูชิโน่ มาประยุกต์ เอานมไปอุ่นแล้วใช้ อุปกรณ์คนตีฟองให้นมเป็นฟอง การทำลาเต้อาร์ต โดยไม่ใช้เครื่องช่วย ก็ทำได้ แต่ฟองนม มันหนาเกินไป ไม่เรียบเนียน ทำให้ทำลายได้ไม่มาก ลายที่ทำวันนั้นก็เป็นลายง่ายๆ แบบลายหัวใจ แต่ก็ไม่ออกมาสวยมากครับ

Chibi Chibi Cafe & Atelier

Chibi Chibi Cafe & Atelier
การทำลาเต้อาร์ตให้สวย ต้องใช้เครื่องช่วยทำ เพราะจะได้ครีมนมที่เรียบเนียนละเอียดกว่า

การทำลาเต้ อาร์ต
 เทคนิค การวาดรูปบนกาแฟ ด้วยการ Etching
การ Etching
ไปชมการทำและการบรรยายโดย คุณกอล์ฟ และคุณเจี๊ยบ แห่งร้าน Chibi Chibi ได้ในวีดีโอครับ

Ichiro 's Blog  ขอขอบคุณท่านทั้งสอง ที่ช่วยเหลือเสมอมาครับ