วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

ร้านอาหาร Mango Tree ที่ ยอดพิมาน ริเวอร์ วอล์ค

บทความตอนนี้เป็นงานเปิดตัวของ ร้านอาหาร Mango Tree ร้านอาหารไทย ที่มีเจ้าของเดียวกับโคคาสุกี้ ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน  ส่วนร้าน Mango Tree เองก็เป็นร้านอาหารไทยที่มีสาขาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และก็มีชื่อเสียงมานานเช่นกัน  ตอนนี้ร้าน Mango Tree เปิดสาขาใหม่แล้ว ที่ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอล์ล แห่งใหม่ที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเลย

ยอดพิมานริเวอร์วอรล์ค นี้มีความด้านที่ติดแม่น้ำยาวถึงสามร้อยกว่าเมตร และตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นปากคลองตลาด  ด้วยทำเลของคอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้ ทำให้สามารถเห็นสถานที่สำคัญๆของกรุงเทพมหานครที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้  หลายแห่ง อาทิเช่น สะพานพุทธ โบสถ์แซนตาครูส และวัดอรุณราชวราราม  และในอนาคตอันใกล้ เมื่อสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานนีมหาราช เปิดให้บริการ การเดินทางมาที่แห่งนี้ก็จะยิ่งสะดวกยิ่งขึ้น

http://www.yodpimanriverwalk.com/home/?gclid=CIPopLKZtsMCFREAvAodnUEAZg

อันนี้เป็น วีดีโองานเปิดตัวที่ Ichiro's Blog on Youtube ครับ




อาหารที่ร้าน Mango Tree เป็นอาหารไทย ที่ตกแต่งสวยงามในแบบที่อาหารฝรั่งชอบ ครับ

ส่วนในวันเปิดตัวก็มีการแสดงที่สนุกสนานให้เป็นบรรยากาศไทยแบบสากล





ถ้ามีโอกาสคงจะได้ไป ทานอาหาร กับวิวสวยๆ ที่ร้านแห่งนี้แน่นอนครับ

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

เยือนศรีลังกา เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส , ตอนที่หนึ่ง โคลัมโบ โรงแรมซินนาเลคไซด์

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส เสด็จเยือนศรีลังกา
สวัสดีครับ Ichiro's blog ตอนนี้จะเป็นทริปที่แปลกสักนิดหนึ่ง คือผมได้มีส่วนเข้าร่วมกับคณะทัวร์แสวงบุญ ที่ไปประเทศศรีลังกา เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ที่เสด็จเยือนประเทศศรีลังกา เพื่อประกาศแต่งตั้ง นักบุญองค์แรกของประเทศศรีลังกา คือนักบุญโจเซฟ วาซ  โดยการประกาศนี้ทำในวันที่ 14 มกราคม 2558 ที่ผ่านมานี่เอง

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ที่ขึ้นดำรงตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2556  ท่านเสด็จมาเยือนเอเซียครั้งนี้ มาเยือนสองประเทศ  ประเทศแรกที่เสด็จเยือนก็คือศรีลังกา ส่วนประเทศที่สองก็คือประเทศฟิลิปปินส์

จากคำบอกเล่าของคณะทัวร์แสวงบุญครั้งนี้ ได้รับคำอธิบายว่าการมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ที่ประเทศศรีลังกานั้น น่าจะทำได้ง่ายกว่า การเข้าเฝ้าที่ฟิลิปปินส์ เพราะที่ประเทศหลังนั้นคนคงเยอะมาก และการเดินทางก็คงไม่สะดวก

และนั่นเป็นเหตุที่เกิด Blog ตอนนี้ขึ้นครับ ขอขอบคุณ AA Travel Service (เอ เอ เทรเวล เซอร์วิส จำกัด) ที่ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความราบรื่น และสนุกสนาน ถ้ามีโอกาสใดๆ ผมย่อมใช้บริการของ เอ เอ อย่างแน่นอนครับ

การเดินทางไปกลับ ศรีลังกา นั้นไปโดยเที่ยวบินที่เป็นเที่ยวตอนกลางคืน โดยสายการบินไทย ตอนไปก็จะไปถึงศรีลังกาตอน หลังเที่ยงคืนนิดหน่อย  ส่วนเที่ยวบินกลับก็บินกลางคืนเหมือนกัน มาถึงตอนเช้าที่ประเทศไทย   การเดินทางไปศรีลังกาจากไทยนั้น บินแค่สามชั่วโมงเท่านั้นครับ ขาไปไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เพราะไปแล้วก็นอนต่อ ตื่นเช้ามาค่อยเที่ยว  แต่ขากลับนี่เหนื่อยเหมือนกัน ตื่นมาก็ทำงานต่อเลย


เคยไปสุวรรณภูมิแล้วเห็นพวกแขกชอบซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นทีวีจอแบน อะไรนี่กลับประเทศกันเปล่าครับ   ผมว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าคงเป็นของมีค่ามากทีเดียว ลงสนามบินมาก็มาขายเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายเครื่องเลย
สนามบิน โคลัมโบ บันดารานาเยก
ศรีลังกา แต่ก่อนเรียกว่าเกาะซีลอน ในเครือจักรภพอังกฤษ จนถึงเมื่อประมาณสี่สิบปีก่อน จึงได้รับเอกราชและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นประเทศศรีลังกา  ที่ศรีลังกานี่มีไวไฟ unlimited data roaming จากประเทศไทยใช้ ผมเดาเอาว่าเพราะด้านใต้ของศรีลังกา นี่ติด มัลดีฟส์ ครับ  หรือว่าไม่เกี่ยวนิ :D 

กรุงโคลอมโบ นี่เป็นเมืองหลวงแห่งที่สี่ของประเทศศรีลังกาแล้ว โคลอมโบ นี่ตั้งชื่อเอาตามตอนที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา เดินทางมาค้นหาอินเดีย แล้วมาเจอ ศรีลังกาที่โคลอมโบนี่ ก็เลยตั้งชื่อตาม โคลัมบัส ( อันนี้ก็ไม่รู้จริงหรือเปล่านะครับ อีกแล้ว )

ทีแรกผมก็จินตนาการไว้ว่า ศรีลังกาคงจะไม่เจริญและไม่สะดวกมากๆเลย  แต่พอได้ไปจริงๆ กลับพบว่าประเทศนี้เจริญมากๆแล้ว มีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบ จะติดปัญหาหนักๆ ก็คงว่าด้วยเรื่องการจราจรนี่แหละ

โรงแรมที่ผมพักอยู่ถึงสี่คืนที่โคลอมโบ คือโรงแรมซินนามอน เลค ไซด์ ( Cinnamon Lakeside Colombo) โรงแรมนี้ติดทะเลสาบ เบร่า Beira  โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ได้รับรางวัลโรงแรมห้าดาวที่ดีที่สุดในศรีลังกา จากสมาคมการท่องเที่ยวประเทศศรีลังกาถึงสองครั้ง

ข้อควรระวังคือ โรงแรมที่ชื่อว่า ซินนามอน ในโคลอมโบ นั้นมีหลายโรงแรม เนื่องจากเป็นกลุ่มเครือโรงแรมซินนามอน ครับ  ดังนั้นเวลาจะจองต้องระบุให้ชัด ว่าอยากนอนซินนามอนที่ไหน รวมถึงถ้าไปอยู่ที่ศรีลังกา แล้วจะกลับโรงแรม ก็ต้องระบุซินนามอนให้ถูกอันเหมือนกัน

website ครับ http://www.cinnamonhotels.com/CinnamonLakeside.htm

ถ้าจะเอากลุ่มโรงแรมซินนามอนก็ http://www.cinnamonhotels.com/

โรงแรมนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีฟิตเนสที่มีอุปกรณ์ทันสมัย และสระว่ายน้ำที่สวย ส่วนตกกลางคืนก็มี seven degree bar ริมทะเลสาบให้นั่งดื่มอย่างสบาย มันเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การมาแสวงบุญครั้งนี้ของผมดีขึ้นมาก

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Grand Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo
ทะเลสาบนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์มาก มีนกนานาพันธุ์ และก็ตัวเงินตัวทองตัวใหญ่ๆ

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo
ตรงนี้เป็นบาร์ริมน้ำ ตอนกลางคืนลมเย็นสบาย ไม่เหนียวตัว เพราะตรงนี้เป็นทะเลสาบน้ำจืด
Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo
 ไลน์อาหาร หลากหลายดี ทั้งเช้าและเย็น  เพราะผมทานในโรงแรมเป็นส่วนใหญ่เลยทั้งเช้าเย็น
Cinnamon Lakeside Colombo
มีอาหารพวกที่เป็นแกงกระหรี่ แบบต่างๆ คนศรีลังกาเขาบอกว่า มันเป็นผงไว้ใส่แกงทุกอย่าง  ผมอยู่มาหลายวัน กินอาหารพวกนี้จนกลิ่นตัวเริ่มเหมือนคนศรีลังกาเขาเหมือนกัน

Cinnamon Lakeside Colombo
บะหมี่อะไรก็ไม่รู้ อยู่ในหมวดของเบเกอรี่
Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

ของหวาน สีขาวๆนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำจากมะพร้าว  ที่ศรีลังกา นี่เขามีน้ำมะพร้าวให้ดื่มทุกวัน ทำจากมะพร้าวลูกสีแดงๆ แต่น้ำมันไม่หวานและหอมเหมือนน้ำมะพร้าวบ้านเรา

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo
เบียร์ที่ศรีลังกา มีสอง แบรนหลักก็คือ Lion กับ Anchor ผมคิดว่าแบรน Lion เป็น Brand  ที่ดังกว่า เพราะอีกอย่างที่ประเทศศรีลังกานี่เขามีสิงโต เป็นเครื่องหมายของชาติด้วย  ขนาดในธงชาติยังมีเลย  อันนี้ผมเดาเอา
Cinnamon Lakeside Colombo
สิ่งที่ผมชอบมากสำหรับศรีลังกา คือค่าครองชีพเขาถูกกว่าเมืองไทย ทำให้การที่เราไปนี่ เราสามารถใช้จ่ายได้อย่างสบาย  และคุณภาพ ก็ใช้ได้ทีเดียวเลยละ  ทีแรกก็จินตนาการไว้ ห่วยกว่านี้เยอะ บอกตามตรง
Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo
อาหารเช้าแปลกดีเลยถ่ายมา  อันนี้เป็นไข่อยู่ในกระทง เอาแป้งที่คล้ายๆแป้งเผือกมาทำเป็นถาดรองไข่  จริงๆมันเหมือนขนมครกใส่ไข่มากๆ เลยละ
Cinnamon Lakeside Colombo

Cinnamon Lakeside Colombo

ส่วนที่เที่ยวในโคลอมโบ ศรีลังกานั้น ผมไม่ได้ไปไหนมาก เนื่องจากเป็นทัวร์แสวงบุญ คาทอลิก จึงไปแต่วันคริสตร์ใน โคลอมโบเป็นหลัก  จากการไปอยู่มาสี่วัน ก็พบว่าที่ศรีลังกา ประชากรค่อนข้างยากจน อย่างน้อยก็จนกว่าประเทศไทยมั้ง  และศรีลังกา มีความหลากหลายในศาสนา  และหลากหลายในเชื้อชาติ  ชาวพุทธที่ศรีลังกา นี่มีถึง กว่า 70% ของประชากรทั้งหมด ตามมาด้วย ฮินดู สิบกว่า %  และอิสลาม ก็ประมาณ 10% ส่วนชาวศรีลังกาที่นับถือศาสนาคริสตร์ นั้นมีเพียงไม่ถึง 10% ของประชากรทั้งหมดของประเทศศรีลังกา  แถมคริสตร์ ที่ ไม่ถึง 10% นั้น ยังแบ่งเป็นนิกายต่างๆ อีก   ครั้งที่โปรตุเกส ครองศรีลังกานั้น ศาสนาคริสตร์ นิกายคาทอลิกนั้น ถูกห้ามเผยแผ่ในประเทศนี้   และในช่วงนั้นเอง ที่นักบุญ โจเซฟ วาส ท่านดำรงค์ชีวิตอยู่

โบสถ์ คาทอลิก ใน โคลอมโบ
โบสถ์ นักบุญ อันตน  หรือ นักบุญ แอนโทนี แห่งปาตัว  ที่นี้เป็นสถานที่สำคัญและถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ของชาวคาทอลิก ที่อาศัยอยู่ในกรุงโคลอมโบแห่งนี้

http://www.stanthonyshrinekochchikade.org/

ตำนานเล่าว่า เมื่อตอนขุดศพท่านนักบุญ อันตน ขึ้นมาลิ้นของท่านยังสดอยู่เลย ท่านมีชื่อเสียงทางด้านการเทศน์ และ อัศจรรย์ ต่างๆ

จริงๆ ศาสนาคริสตร์ ที่ศรีลังกานี่ถูกเผยแผ่มาโดยชาวโปรตุเกสก่อน ที่ชาวคริสตร์จากอังกฤษ จะเข้ามาและเผยแผ่อีกนิกายนึง

St. Anthony's Shrine, Colombo
ที่ว่าการเมืองโคลอมโบ หรือที่เรียกกันว่า White house ศรีลังกา  ถ้าท่านไปถึงตรงจุดนี้ แนะนำให้ ลองเดินไปทางพระพุทธรูป ที่อยู่ตรงกันข้ามกับ White house อันนี้ แล้วถ่ายรูปมา จะได้ภาพที่ดูแปลกตา เพราะจะมีพระพุทธ กับ White house อยู่ด้วยกัน  ส่วนผมไม่มีเวลามากนัก จึงพลาดโอกาสนั้นไป

อาคารสำนักว่าการเมืองแห่งนี้

Colombo City council
ป้ายต้อนรับพระสันตะปาปา ฟรานซิส ที่เห็นบาทหลวงในภาพ คือ นักบุญโจเซฟ วาส

ป้ายต้อนรับ พระสันตะปาปา ฟรานซิส

ธงต้อนรับพระสันตะปาปา ฟรานซิส
เดินจากโรงแรมไม่ไกล จะพบศาสนสถานชาวฮินดู ซึ่งผมไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไร แต่คิดว่าคงเป็นศาสนสถานบูชา พระศิวะ อ่านจากชื่อเอา

ดูรายละเอียดจาก web ของคนอื่น http://srilanka.for91days.com/2012/02/09/sri-subramaniya-kovil/
Siva Subramaniya Kovil
วัดพุทธ กันการามายา นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเหมือนกัน  เพราะผมก็เดินไปถ่ายรูปมา ที่วัดนี้เขาบอกมีพระเกศาของพระพุทธเจ้า อยู่ด้วย  และเขาค่อนข้างใจดี ต้อนรับคนไทย  ค่าเข้าสองร้อยรูปี แต่หนึ่งร้อย เขาจะคืนให้ แล้วบอกให้ไปใส่ตู้บริจาค

วัดพุทธ กันการามายา (วิฮารา)
เขามีการทำบุญ ที่ไม่พบในเมืองไทยอย่างนึง คือการ รดน้ำต้นโพธิ์  ข้อควรรู้ สำหรับการไปวัดพุทธในศรีลังกา ก็คืออย่าหันหลังให้พระพุทธรูป  ยกตัวอย่างที่พบบ่อย ก็เช่น หันหลัง ถ่ายรูปกับพระพุทธรูปนี่แหละ  อย่างนั้นเขาถือ และบางทีชาวศรีลังกาที่พบเห็น ก็จะโมโหหงุดหงิดที่เห็นเราทำแบบนั้น

วัดกันการามายา นี่ถ้าเป็นชาวพุทธ คงไม่พลาดอยู่แล้ว

วัดพุทธ กันการามายา (วิฮารา)

สถานีรถไฟในโคลอมโบ  รถไฟคล้ายๆของบ้านเรา แต่เขามีทางรถไฟที่เลียบไปกับมหาสมุทร ด้วยครับ ถ้าอากาศดีๆ คงสวยใช่เล่น

สถานีรถไฟ โคลอมโบ ศรีลังกา

โคลอมโบ ศรีลังกา
พิธีมิซซา ของพระสันตะปาปา ฟรานซิส ที่โคลอมโบ ศรีลังกา  ผมบอกตามตรงว่าผมชอบพระสันตะปาปาท่านนี้มากๆ  แนวคิดที่ ไม่สะสม ของอะไรบนโลกนี้  สิ่งที่สะสม มีแค่เพียง สะสม การทำเพื่อผู้อื่น
พิธีมิซซา พระสันตะปาปา ฟรานซิส ที่ โคลอมโบ ศรีลังกา

สำหรับร้านอาหารที่จะแนะนำ หรือเขียนถึง คงมีแค่ร้านเดียว เพราะก็ไม่ได้ไปไหน และที่ไปมา ก็ไม่ค่อยจะโอ ครับ

ร้านที่เขียนถึง คือร้าน Siam House ครับ ที่โคลอมโบ  ร้านนี้มี Chef เป็นคนไทย อาหารก็ใช้ได้ที่สุด เท่าที่ไปทานมา

Siam House , Authentic Thai Cuisine , Colombo
Siam House , Authentic Thai Cuisine , Colombo
 รูปนี้ เป็นรูปจากโบสถ์ แห่งนักบุญทั้งหลายครับ  จุดเด่นอย่างหนึ่งคือ หอระฆัง
โบสถ์ นักบุญทั้งหลาย โคลอมโบ
All Saints Church, Colombo

ก็คงจบแล้ว สำหรับตอนที่หนึ่งที่ ศรีลังกา ครับ  อีกตอนหนึ่งเราจะไป ที่ Kandy เมืองแห่งการเริงระบำ เมืองหลวงอีกแห่ง ของ โคลอมโบ

มาแล้วครับ ตอนจบ

 http://phongthon.blogspot.com/2015/02/earls-regency-kandy.html

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

รีวิว กล้อง FUJIFILM X100T , กล้องสไตล์ ย้อนยุค ที่ทำให้การถ่ายภาพ สนุกขึ้นมาอีกครั้ง

Fujiflim X100T
ผ่านไปหนึ่งปีหลังจากที่รีวิวกล้องตัวเล็กไป คือครั้งที่แล้วผมซื้อกล้อง Panasonic Lumix GM1 มาใช้เองครับ เพื่อใช้เป็นกล้องเล็ก ถ่ายสะดวก ไม่เอิกเกริกเวลาไปถ่ายอะไร  ตามรีวิวอันนี้

รีวิวกล้อง Panasonic Lumix GM1

http://phongthon.blogspot.com/2013/12/panasonic-lumix-gm1.html

หลังจากการรีวิวครั้งนั้น ผมได้ใช้กล้อง  Panasonic Lumix GM1 มาตลอด จนมาถึงปีนี้ มีกล้อง series เดียวกันของ Lumix ออกมาแล้วครับ คือ Panasonic Lumic GM5 ซึ่งราคาก็คงตกไม่ถึงสามหมื่นบาท (ผมเชื่อว่าแม้ร้านที่ขายแพงที่สุด ราคาคงไม่ถึงสามหมื่นบาทแน่ครับ ) คือตัวนี้ เอารูปมาจาก imaging resource ครับ ซึ่งก็น่าซื้อทีเดียว เพราะผมก็มีเลนส์ ของกล้องนี้อยู่สองตัวแล้ว  แต่ถึงผมจะชอบกล้องรุ่นนี้มาก แต่มันก็มีปัญหาครับ ปัญหาหลักของกล้องรุ่นนี้ อยู่ตรงตัวเลนส์ของมันนั่นเอง เลนส์ตัวที่ติดมากับกล้อง ที่เป็น 14-42 mm. นั้น เวลาต้องหมุนไปหมุนมา  พอใช้ไปครบปี เลนส์มันหมุนจนพังเลยครับ พังตรงที่หมุนน่ะครับ

ส่วนปัญหาอีกอย่าง คือจุดข้อต่อของเลนส์กับกล้อง บางทีมันไม่แน่น ทำให้ถ่ายรูปไม่ได้เพราะกล้องจะแสดงผลเป็น error  ครับ

แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ใช่เป็นสาเหตุหลักที่ผมลองซื้อ Fujiflim ตัว X100T นี้มาลองเล่น  ผมซื้อมาลองด้วยรุ่นพี่ที่เคารพคนหนึ่งของผมเขาใช้ Fuji ผมเห็นภาพเขาสวยดี ก็เลยอยากลองใช้บ้างครับ

ผมซื้อกล้องทั้งหมดนี่มาเองนะครับ ไม่มีหน่วยงานใดจัดมาให้รีวิว แต่ประการใด  และบทความนี้ก็ไม่ใช่รีวิวอะไรมาก น่าจะเรียกว่า ความเห็นส่วนตัวของผม หลังจากอยู่กับ X100T ตัวนี้มาได้ เกือบหนึ่งเดือน  ดังนั้นผมจะไม่เขียนเรื่อง spec อะไรของกล้องตัวนี้มาก เพราะท่านผู้อ่านสามารถหาได้ใน web ของ Fujiflim อยู่แล้ว

กล้อง Fujifilm x100 นี้ ออกมาเป็นรุ่นที่สามแล้ว จากรุ่น x100 ธรรมดา มาเป็น x100s และเป็น x100T ซึ่งหน้าตาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่เลย

http://www.fujifilm.com/products/digital_cameras/x/fujifilm_x100t/

Panasonic Lumix Gm5

กล้อง X100T นี้ ราคาแพงกว่า กล้อง Lumix Gm1 กล่าวคือราคาประมาณสี่หมื่นบาททีเดียว  น้ำหนักก็มากกว่า  เลนส์ก็หมุนไม่ได้ เลนส์เป็นเลนส์ Fix ที่ระยะ 23 mm. และเปลี่ยนไม่ได้ กล้องตัวนี้มีตัุวคูณอยู่ที่ 1.5  ดังนั้น ระยะที่ได้จริงของกล้องนี้คือ 35 mm. ครับ

Fujifilm X100T
 กล้อง Fujifilm X100T ตัวนี้ made in Japan ครับ ภายในกล้อง ก็มี สาย มีแบต มีที่ charge ส่วน memory ต้องซื้อมาเอง  กล้องตัวนี้ใช้ memory แบบ SD card

Fujifilm X100T
 เอามาวางคู่กับกล้อง GM1 ของผม  ด้านซ้ายเป็น Lumix Gm1 ด้านขวา FujiFilm X100T ดูแบบนี้ดูไม่ต่างกันมาก แต่จริงๆ ใหญ่กว่ากันพอควรเลย



 Fujifilm X100T
Fujifilm X100T




ทางด้านหน้ามีปุ่มที่ควรรู้อยู่ปุ่มนึง คือปุ่มที่อยู่ตรงนิ้วชี้มือขวา ถัดจาก flash ครับ ปุ่มนี้ มีไว้สำหรับเปลี่ยนมุมมองของจอเล็ก  ซึ่งจอเล็ก สามารถเปลี่ยนจาก optical คือ มองผ่านกระจกไปเลย เห็นภาพยังไงก็เป็นงั้น  แต่จะมีกรอบไว้บอกว่า ตรงส่วนนี้จะเป็นส่วนที่อยู่ในรูป    กับจอเล็กสามารถแสดงผล ภาพแบบ digital ก็ได้ คือจะเห็นภาพเหมือนที่ถ่ายได้จริงๆ รวมทั้งมีจอขยายไว้ซูมส่วนที่ต้องการ focus ด้วย ว่าชัดหรือไม่   ผมชอบจอเล็กนี้มากๆ เลยครับ


 กล้องตัว Fujifilm X100T นี่ ดูข้างนอกเรียบง่ายมาก  ความกว้างหน้ากล้อง อยู่ที่ F2.0 ถึง F16.0 และปรับได้ทีละ 1/3 step

shutter speed ปรับได้เร็วสุดที่ 1/4000 และนานสุดได้เท่าที่จะกด

ปุ่ม Fn ด้านบน สามารถปรับเป็น function ที่ใช้บ่อยได้  เราเลือกเอาเอง

Fujifilm X100T
ด้านหลัง ซ้าย บนสุดมีปุ่ม view mode ซึ่ง ใช้เปลี่ยนมุมมองสำหรับตอนถ่ายภาพ ว่าจะให้ภาพปรากฎบนจอ LCD หรือจะปรากฎในช่องมองภาพ หรือจะให้ขึ้นทั้งคู่ ตาม eye sensor คือพอเอาตาไปตรงช่องมอง ภาพก็จะปรากฎใน ช่องมองเล็กเองอัตโนมัติ  จุดเด่นจริงๆ ของกล้องตัวนี้อยู่ที่ช่องมองเล็กนี่แหละครับ  เด็ดจริงๆ

ถัดมาเป็นปุ่มสำหรับดูภาพที่ถ่ายไปแล้ว ปุ่มลบภาพ และปุ่ม Wi-fi  Fn กล้องนี้มี wifi ในตัว สามารถเชื่อมต่อกับมือถือผ่านโปรแกรมของ Fujifilm ครับ  สะดวกใช้ง่าย

ด้านบนมีปุ่ม Drive ไว้เลือก การถ่ายต่อเนื่อง ซึ่งการถ่ายหลายภาพนั้น สามารถปรับได้หลากหลายทั้งให้ปรับ EV บวกลบ ต่างกัน หรือแม้กระทั้ง ปรับให้ถ่ายสามครั้งด้วย mode film ที่ต่างกัน คือถ่าย ภาพธรรมดา ภาพขาวดำ ภาพสีสด มาพร้อมกันได้ใน shot เดียวไปเลย ด้วย function drive ก็ได้  อันนี้ ก็สะดวก

ปุ่ม Q นี่ ผมก็ชอบมาก เป็นปุ่มเข้าสู่การปรับ function หลากหลาย ที่ใช้บ่อยๆครับ  กดปุ่มนี้ ไม่ต้องเข้า menu ก็ได้ เข้า ปุ่ม Q แล้ว ใช้ที่หมุ่นๆตรงนิ้วโป้งมือขวาปรับเอาได้หมดเลย

ถัดลงมาก็เป็น ปุ่มเมนู ล้อมด้วยปุ่มขึ้น ขวา ลง ซ้าย เป็นปุ่มที่ใช้เข้า menus ทั้งหมด และปุ่มขึ้นขวาลงซ้าย ก็ใช้ ปรับเลือกเมนูเหล่านั้น

ลงมาอีกทางด้านขวา จะเป็นปุ่ม display เอาไว้ใช้แสดงผลที่จอในรูปแบบต่างๆ ทั้งขณะถ่าย และขณะ play back

Fujifilm X100T
อย่างที่บอกตอนต้น ว่า บทความนี้คงไม่ใช่รีวิวอย่างละเอียด แต่เป็นการพูดถึงประสบการณ์การใช้ของผมกับกล้องตัว Fuji X100T มากกว่าครับ ว่าเป็นไง ผมก็พยายามจะเปรียบเทียบกล้องตัวใหม่กับกล้องตัวเก่า โดยนำกล้องตัวเก่ามาใส่ เลนส์ 17mm. f2.8  เพื่อเปรียบเทียบ เพราะกล้อง Lumix GM1 นั้นมีตัวคูณ 2.0  ส่วนกล้องตัว Fuji X100T นั้นมีตัวคูณ 1.5  กับเลนส์ fix ของมันที่ 23mm  เมื่อเทียบกันอย่างนี้ จะเป็นการเทียบที่ระยะเท่ากัน และ f2.8 เท่าๆกัน

ปรับ f ของ fuji ให้เป็น 2.8 จะได้เท่ากัน

M.Zuiko digital 17มม. f2.8
fuji x100T vs. Lumix Gm1
fuji x100T vs. Lumix Gm1
 วางคู่กัน ใช้ timer เหมือนกันทั้งสองตัว ผลที่ได้ภาพเป็นดังนี้ครับ ลอง คลิกภาพใหญ่ดู ผมไม่ได้ย่อภาพ ไม่ได้ปรับภาพ แค่ ใส่ ลายน้ำเท่านั้น

สามภาพแรก เป็นภาพจาก Lumix Gm1 ที่ Iso 200 ,1600 และ3200 ตามลำดับ  ลอง click ภาพใหญ่ดูว่า มี noise มากน้อยเพียงใดครับ  (ถ้าไปอ่านจาก review Lumix GM1 ของผม ผมเคยบอกว่ากล้องนี้ ดีที่สุดในขนาด และราคาที่เคยใช้มา และก็ยังคงดีเหมือนเดิม ผมยังคิดเช่นนั้น ยกเว้นเรื่องมันแตกหักง่ายนี่แหละ )

Fuji x100T vs. Lumix Gm1

Fuji x100T vs. Lumix Gm1

Fuji x100T vs. Lumix Gm1

สามภาพถัดมา เป็นผลงานของ FujiFilm X100T   ดูเหมือนว่า กล้อง fuji จะเปิดหน้ากล้องนานกว่า ภาพก็สว่างกว่า ด้วย อาจเกิดจากการตั้งโหมด เป็น P ใน กล้อง Panasonic แต่ก็คงต้องเลยตามเลย  ลองมาดู noise ในกล้อง fuji ดีกว่า ว่า เป็นยังไงที่ ISO ต่างๆกัน

Fuji x100T vs. Lumix Gm1

Fuji x100T vs. Lumix Gm1

Fuji x100T vs. Lumix Gm1

ดูเหมือนว่าผมจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการพยายามเปรียบเทียบมันสักเท่าใด

ไปดู function ต่อไป ของ Fuji X100T ดีกว่า คือ Function Advance Filter

Partial color นี่ ทำภาพเป็นขาวดำหมด เหลือแค่สีที่เราต้องการ เอาไว้  ตัวอย่างเช่นภาพนี้ partial color blue

FujiFilm X100T Advance Filter mode
 Advance filter นี่มีมากกว่าที่ผมนำมาแสดงให้ชม เอามาแสดงเท่านี้ เพราะวัตถุประสงค์ ต้องการนำเสนอตัวอย่างเท่านั้นครับ

FujiFilm X100T Advance Filter mode

FujiFilm X100T Advance Filter mode

FujiFilm X100T Advance Filter mode

FujiFilm X100T Advance Filter mode
อีกโหมดนึงที่ใช้บ่อยคือ mode Film Simulation ครับ ที่ทำให้ภาพเป็นขาวดำ เป็นสดใส vivid เป็น Sepia และอื่นๆ ครับ  ข้อควรระวังคือ mode Film Simulation มาพร้อมกับ Advance Filter ไม่ได้นะครับ ต้องออกจาก Advance Filter ก่อน  ถึงตรงนี้ ผมชอบใช้ Film Simulation bracket คือถ่ายทีเดียวได้สามภาพ เลย มันสะดวก และสนุกดีครับ  จากตรงนี้ ผมจะขออนุญาตนำภาพที่ถ่ายด้วยกล้องนี้ มาให้ชมกันดู ว่าเป็นยังไงได้บ้าง   สิ่งที่ผมชอบคือ กล้องนี้ มันทำให้ถ่ายได้ "สนุก" ครับ  และไม่เอิกเริก ไม่เหมือนใช้กล้องใหญ่

สำหรับเรื่องแบต ถ้าถ่ายทั้งวัน ถ่านก็จะหมดตอนหมดวันพอดีๆ ครับ วิธีการประหยัด แบตก็คือใช้จอมองภาพ optical นี่แหละ ช่วยได้เยอะ

ภาพเหล่านี้ถ่ายจากล้อง ใส่แค่ ลายน้ำ ไม่ได้ปรับแต่งอะไรมากกว่านั้น ขนาดภาพจะใหญ่กว่า ภาพปกติใน blog นี้นะครับ  เพื่อให้พิจารณาคุณภาพของภาพได้ดีขึ้น  บางภาพผมก็ถ่ายไม่ดีเลยละ ไม่ชินกล้อง และก็กดๆ ไป ก็มี กล้องนี้ถ่ายง่ายครับ

ผมใช้ burst ถ่าย ได้ทีเดียว ภาพธรรมดา ภาพขาวดำ และภาพสีจัด มาเลยหนึ่ง Shot ได้สามภาพจากตัวกล้องเลยครับ  ลองชมดูว่า ภาพเป็นยังไงบ้างครับ ภาพทุกภาพส่งตรงจากกล้อง ผ่านการลดความกว้าง และใส่ลายน้ำครับ ผมนำเสนอภาพ ปนๆ กันเลยนะครับ ขึ้เกียจอธิบายมากแล้ว ดูรูปเอาดีกว่า ว่าพอไหวไหม ฝีมือผม กับกล้อง FujiFilm X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T


ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T
ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T
ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T
ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T
ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T
ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T


ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T

ตัวอย่างภาพจาก FUJIFILM X100T
จุดที่ผมชอบของกล้องนี้
1. ดีไซน์ ย้อนยุค ตัวกล้องทำจากวัสดุชั้นดีให้ความรู้สึกมีราคา กล้องดูแข็งแรงทนทาน และกล้อง made in Japan
2.ปุ่มต่างๆ ใช้งานสะดวก เข้าใจง่าย ปุ่มอยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ ไม่ต้องอ่านคู่มือกันเยอะแยะ ก็เข้าใจการใช้งานได้หมด
3. จอมองภาพ optical สามารถสลับเป็น digital ในจอเล็กนั่นได้เลย  และ mode optical ก็มีกรอบให้เห็นว่าภาพที่จะถ่ายอยู่ตรงไหน  ส่วนในจอ mode digital สามารถดูจุดที่กำลัง focus อยู่ได้ด้วย ว่าจะได้ภาพชัดไหม และเป็นยังไง พอถ่ายภาพเสร็จ มองภาพในจอเล็กนี่ก็ยังได้  เชื่อผมเถอะ ถ้าใช้กล้องนี้ ต้องใช้ช่องส่องภาพ optical นี่เท่านั้น  เพราะดูจอใหญ่ มองก็จะไม่ค่อยชัดในกรณีที่แสงจ้า 
4. กล้องตัวนี้ มันทำให้การถ่ายภาพ สนุกขึ้นมากว่าเก่า เพราะมันเปิดเร็ว ถ่ายเร็ว focus ค่อนข้างแม่น กล้องถ่ายง่าย ถ่ายมั่วๆ ซั่วๆ ก็ยังได้ภาพ
5. หยิบออกมาถ่าย ไม่เอิกเริก แบบไม่รู้ตัวไม่สนใจ หรือถึงรู้ ก็ยังให้ถ่ายอยู่ดี ไม่เครียดเหมือนใช้กล้องใหญ่ถ่าย

จุดที่ผมไม่ค่อยชอบ
1. ราคาแพงไปไหมนิ ถึงจะดีขนาดนี้ ผมก็ว่าราคามันสูงนะ
2. จอดูภาพ จอใหญ่นี่ ยังไม่ touch screen นะครับ มันจะไม่สะดวกตอน play back นิดนึง

อย่างที่บอกไว้แต่ต้น บทความนี้เป็นบทความที่เขียนจากประสบการณ์ของคนที่เพิ่งลองมาใช้ FUJIFILM ครั้งแรก และก็ไม่ได้เป็นนักรีวิวกล้องที่มีความเชี่ยวชาญอะไรมาก เป็นแค่ผู้ใช้คนหนึ่งเท่านั้นครับ

ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านครับ